ทริสจัดอันดับเครดิตธนาคารทหารไทย ให้องค์กร "BBB" และหุ้นกู้ด้อยสิทธิ "BBB-"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 14, 2000 07:58 —ทริส เรตติ้ง

        เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ได้ประกาศอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 6,000 ล้านบาท ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB" และ "BBB-" ตามลำดับ อันดับเครดิตสะท้อนความแข็งแกร่งของฐานเงินทุนของธนาคารหลังจากได้รับการเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลังและนักลงทุนกลุ่มใหม่ ธนาคารบรรลุเงื่อนไขการรับความช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 ตามมาตรการ 14 สิงหาคม 2541 จากกระทรวงการคลังซึ่งทำให้ธนาคารสามารถเพิ่มทุนได้เร็วขึ้น โดยสามารถตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญได้ครบจำนวน  ธนาคารยังได้ตัดหนี้เสียสำหรับสินเชื่อที่มีปัญหาซึ่งทำให้สินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ของธนาคารลดลงจาก 85,281 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2542 มาอยู่ที่ 64,214 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543  อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังต้องใช้เวลาในการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและการแข่งขันที่สูงขึ้นในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในอนาคต
จากรายงานของทริสระบุว่า ธนาคารทหารไทยขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากกระทรวงการคลังในการเพิ่มฐานเงินกองทุนเพื่อรองรับปัญหาสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ และได้ออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุนที่ประกอบด้วยหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันและหุ้นบุริมสิทธิภายใต้ชื่อ Super Caps ขายให้แก่นักลงทุนจำนวน 9,960 ล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2542 ตราสารดังกล่าวได้รับการนับเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งของธนาคาร และธนาคารยังได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 โดยการขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ 742 ล้านบาทให้แก่กระทรวงการคลังในเดือนกันยายน 2542 ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2543 ธนาคารได้จำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่เป็นพันธมิตรธุรกิจของธนาคารอีก 9,960 ล้านบาท นับเป็นฐานเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ทำให้ธนาคารได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนจำนวน 19,920 ล้านบาทจากกระทรวงการคลังโดยผ่านหุ้นบุริมสิทธิ การเพิ่มฐานเงินกองทุนในครั้งนี้ทำให้ธนาคารสามารถตัดหนี้เสียจำนวนมากเป็นหนี้สูญได้ การตัดหนี้เสียออกจากบัญชีลูกหนี้ของธนาคารส่งผลให้สัดส่วนของสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ลดลงจาก 32.28% ในปี 2541 มาอยู่ที่ 24.56% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2543 ในขณะเดียวกันธนาคารยังมีความพอเพียงของเงินกองทุนอยู่ถึง 13.42% ณ เดือนมิถุนายน 2543
ธนาคารทหารไทยได้ก่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ขึ้นในเดือนสิงหาคม 2543 เพื่อให้การบริหารสินเชื่อที่มีปัญหาสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น สินเชื่อที่มีปัญหาที่โอนมายัง AMC จะโอนมาในระดับราคาตลาดซึ่งจะต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และจะส่งผลให้การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ทำได้สะดวกขึ้น ธนาคารจะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ทำให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้และยังป้องกันการเกิดสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้รอบใหม่
ปัจจุบันแม้ไม่มีภาระการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในจำนวนที่สูงเนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองครบตามเงื่อนไข แต่ธนาคารยังต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการตัดหนี้สูญ การขาดทุนสะสมของธนาคาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 อยู่ที่ระดับ 42,333 ล้านบาท ธนาคารมีฐานของตลาดเฉพาะกลุ่มในสินเชื่อก่อสร้างซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% ของสินเชื่อทั้งหมด ลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่มนี้ทำงานให้แก่โครงการของรัฐบาลซึ่งมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ แต่การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอาจทำให้สินเชื่อในกลุ่มนี้ไม่ขยายตัวในเวลาอันใกล้
ทริสกล่าวว่าคู่แข่งรายใหญ่ของธนาคารซึ่งได้แก่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่และธนาคารต่างชาติที่มุ่งทำการตลาดในกลุ่มลูกค้ารายย่อยเช่นเดียวกันจะทำให้ธนาคารเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ดังนั้น ธนาคารจึงต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับกลุ่มธนาคารต่างประเทศที่เริ่มให้บริการเต็มรูปแบบ การปรับเปลี่ยนกรรมการและผู้บริหารระดับสูงซึ่งได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาดำเนินงานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ธนาคารยังต้องอาศัยเวลาที่จะเห็นความสำเร็จตามนโยบายการบริหารแนวใหม่นี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ