ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ ตลอดจนการมีผลประกอบการทางการเงินที่น่าประทับใจแม้ในยามที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และระดับฐานทุนที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการกระจุกตัวของฐานสินเชื่อในแง่ภูมิศาสตร์ ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรม เศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจซึ่งอาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทที่ยังคงถดถอยลงอย่างต่อเนื่องและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อของบริษัทด้วย กล่าวคือ บริษัทยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความมีเสถียรภาพในการขยายธุรกิจพร้อมทั้งรักษาผลประกอบการทางการเงินให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง
บริษัท เอส 11 ก่อตั้งในปี 2554 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท บริษัทเริ่มให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จากนั้นจึงขยายไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้ง ในปี 2558 บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกได้เพิ่มช่องทางใหม่ให้บริษัทเข้าสู่ตลาดทุนและทำให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อให้เติบโตขึ้นได้ ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้แก่ บริษัท เอส ชาร์เตอร์ จำกัด (ถือหุ้น 97% โดยครอบครัวตระกูลจิระดำรงซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท) ซึ่งถือหุ้น 28.4% และกลุ่มผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ต่างชาติซึ่งถือหุ้น 34.4% แม้จะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งใหม่ แต่คณะผู้บริหารของบริษัทล้วนมีประสบการณ์เป็นเวลาที่ยาวนานมากกว่า 20 ปีในธุรกิจให้สินเชื่อรถจักรยานยนต์
บริษัทได้ขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออก สินเชื่อของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 618 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 4,384 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 48% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 มูลค่าสินเชื่อคงเหลือของบริษัทเติบโต 8.7% จากสิ้นปี 2559 สู่ระดับ 4,765 ล้านบาท ทั้งนี้ สินเชื่อคงเหลือของบริษัทเกือบทั้งหมด (99%) เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ ส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใช้แล้ว
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 7.4% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 (2 ปีหลังจากการก่อตั้งบริษัท) มาอยู่ที่ระดับ 8.4% ณ สิ้นปี 2557 อัตราส่วนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 11.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม แม้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ผลขาดทุนจากการขายรถจักรยานยนต์ยึดคืนของบริษัทกลับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 โดยการลดลงของผลขาดทุนนี้ช่วยบรรเทาผลกระทบในเชิงลบต่อความสามารถในการทำกำไรจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนจากการขายรถจักรยานยนต์ยึดคืนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี 2560
ลูกค้าเป้าหมายของบริษัทเป็นกลุ่มที่มีระดับความเสี่ยงสูงและค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางลบของภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น นโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพของบริษัทจึงเป็น
กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน รวมทั้งการเติบโตที่รวดเร็ว และคุณภาพสินเชื่อที่ถดถอยลงจึงทำให้บริษัทต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการฐานสินเชื่อขนาดใหญ่และดำรงคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้อย่างมีเสถียรภาพสักระยะหนึ่ง
ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจาก 11 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 353 ล้านบาทในปี 2558 ในปี 2559 กำไรสุทธิยังคงเติบโตอีก 19.4% มาอยู่ที่ระดับ 421 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 กำไรสุทธิของบริษัทลดลง 7.7% เป็น 191 ล้านบาทจาก 207 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2559 จากค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญรวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิของบริษัท โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 6.1% ในปี 2555 เป็น 10.6% ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ระดับ 8.6% (ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560
การมีผลกำไรที่สม่ำเสมอตลอด 4 ปีที่ผ่านมาทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงโดยเฉพาะหลังจากการเสนอขายหุ้นแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 34% ณ สิ้นปี 2557 เป็น 47.2% ณ สิ้นปี 2558 ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเล็กน้อยเป็น 44.6% ณ สิ้นปี 2559 และ 42.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 ทริสเรทติ้งมองว่าฐานทุนของบริษัทในขณะนี้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับการขยายสินเชื่อในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับ 1.4 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าคณะผู้บริหารของบริษัทซึ่งมีความสามารถและมากด้วยประสบการณ์จะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและสร้างผลประกอบการทางการเงินที่น่าพอใจ ตลอดจนสามารถดำรงสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังด้วยว่าคุณภาพสินเชื่อของบริษัทจะไม่ลดต่ำลงจนถึงระดับที่กระทบต่อภาพรวมทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตนั้นขึ้นอยู่กับประวัติในการดำเนินธุรกิจและความมีเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงและฐานทุนที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและฐานทุนของบริษัท
บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (S11)
อันดับเครดิตองค์กร BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable