ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. อินโดรามา เวนเจอร์ส” ที่ “A+” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “A-” และเปลี่ยนแนวโน้มเป็น “Positive” จาก “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 18, 2017 11:30 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกัน

ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Positive" หรือ "บวก" จาก "Stable" หรือ "คงที่" ด้วย โดยการปรับเปลี่ยนแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าสูง (High-Value-Added -- HVA) ให้มากขึ้น

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงการเป็นผู้ผลิตชั้นนำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส ก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูล Lohia ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนในห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 และ

ณ เดือนมิถุนายน 2560 กลุ่มตระกูล Lohia มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 66.4% ธุรกิจหลักของบริษัทประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจ Polyethylene Terephthalate (PET) กลุ่มธุรกิจไฟเบอร์ (Fiber) และกลุ่มธุรกิจวัตถุดิบ (Feedstock) ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 10.5 ล้านตันต่อปี โดยประมาณ 42% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจ PET อีก 15% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจ Fiber และอีก 43% เป็นกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจวัตถุดิบ

บริษัทมีฐานการผลิตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานทั้งหมด 72 แห่งซึ่งตั้งอยู่ใน 24 ประเทศ ครอบคลุม 4 ทวีป ได้แก่ เอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และอาฟริกา รูปแบบธุรกิจของบริษัทเป็นการผลิตแบบครบวงจร มีฐานการผลิตที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก และมุ่งสู่การเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งรูปแบบธุรกิจนี้น่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนบรรเทาความเสี่ยงที่บริษัทจะได้รับจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการกีดกันทางการค้าได้

ตั้งแต่ปี 2559 จนถึง 6 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทได้ซื้อกิจการจำนวน 4 แห่งรวมมูลค่าประมาณ 30,500 ล้านบาท ซึ่งทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 8.8 ล้านตันในปี 2558 เป็น 10.5 ล้านตันในเดือนมิถุนายน 2560 การซื้อกิจการในครั้งนี้ประกอบด้วยการซื้อโรงงาน PTA ในประเทศสเปน การซื้อโรงงานผลิต Paraxylene (PX) และ PTA แบบครบวงจร ในประเทศสหรัฐอเมริกา การซื้อโรงงานผลิตเส้นใยชนิดพิเศษในยุโรปและประเทศจีน รวมถึงการซื้อโรงงาน PET ในประเทศอินเดีย

การซื้อกิจการดังกล่าวช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัทเนื่องจากส่วนต่างราคาของ PTA และวัตถุดิบในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปนั้นมากกว่าในเอเซีย ซึ่งในอดีตบริษัทมีฐานการผลิต PTA ส่วนใหญ่อยู่ในเอเซีย นอกจากนี้ โรงงาน PTA ในประเทศสเปนรวมถึงโรงงานผลิต PX และ PTA แบบครบวงจรในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นยังมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงด้วยซึ่งได้แก่ Isophthalic Acid (IPA) และ Naphthalene Dicarboxylate (NDC) ตามลำดับ การซื้อกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาช่วยสร้างความสมดุลให้แก่บริษัทในด้านการกระจายตัวในแต่ละภูมิภาค ทั้งนี้ ประมาณ 38% ของกำลังการผลิตของบริษัทนั้นตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ 32% ตั้งอยู่ในทวีปเอเซีย และประมาณ 30% ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและทวีปอาฟริกา นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงงานแยกก๊าซอีเทน (Ethane Cracker) ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งบริษัทได้ซื้อมาตั้งแต่ปี 2557 ด้วย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินงานได้ในปลายปี 2560 โรงงานแห่งนี้จะมีส่วนช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้แก่บริษัทจากการที่ราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับที่ต่ำ และยังเป็นอีกก้าวหนึ่งของบริษัทในการรวมการผลิตต้นน้ำ (Backward Integration) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทอีกด้วย เนื่องจากเอธิลีน (Ethylene) นั้นเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิต Mono Ethylene Glycol (MEG)

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 143,311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการเป็นสำคัญ ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ภาวะอุปทานส่วนเกินสำหรับผลิตภัณฑ์ PTA ในเอเชียสร้างแรงกดดันให้แก่อัตราการทำกำไรของบริษัทเนื่องจากอุปทานส่วนเกินดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้ส่วนต่างราคาของ PTA และวัตถุดิบค่อนข้างแคบในทวีปเอเซีย โดยมีส่วนต่างราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการในช่วงปี 2558-2560 ช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้แก่บริษัทและสร้างความสมดุลให้แก่ธุรกิจวัตถุดิบของบริษัท อัตรากำไร (กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 5% ในช่วงปี 2555-2557 เป็น 11.1% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งเป็นผลจากการซื้อโรงงาน PTA ในประเทศแคนาดา สเปน และสหรัฐอเมริกา

กลยุทธ์ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเป็นอีกส่วนหนึ่งในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ในปี 2555 บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงคิดเป็นประมาณ 16% ของการผลิตทั้งหมดของบริษัทและคิดเป็น 25% ของกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวมของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงมีสัดส่วนคิดเป็น 20% ของการผลิตรวมของบริษัท และคิดเป็นประมาณ 57% ของ EBITDA ของบริษัท สำหรับ EBITDA ต่อตันนั้นปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงปี 2558-2559 เป็น 107 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 การเพิ่มขึ้นของ EBITDA ต่อตันเป็นผลจากการมีผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การซื้อโรงงาน PTA ในยุโรปและสหรัฐอเมริกายังช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัทอีกด้วยเนื่องจากส่วนต่างราคาของ PTA ในภูมิภาคดังกล่าวนั้นสูงกว่าในเอเซีย ทั้งนี้ ความต่อเนื่องของอัตรากำไรที่ดีขึ้นดังกล่าวยังคงต้องมีการติดตามต่อไป

บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีเงินกู้รวมซึ่งปรับปรุงด้วยหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (เงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้ว) จำนวน 106,689 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 56.6% ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นจาก 9,639 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เป็น 14,535 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วดีขึ้นจากประมาณ 12%-16% ในช่วงปี 2555-2558 เป็น 22.6% สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560

สถานะทางการเงินในอนาคตของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นจากระดับปัจจุบัน เนื่องจากบริษัทจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการลงทุนซื้อกิจการต่าง ๆ ในช่วงปี 2558-2560 ทั้งนี้ ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งได้พิจารณารวมไปถึงงบประมาณในการซื้อกิจการและแผนการลงทุนของบริษัทซึ่งรวมไปถึงการซ่อมบำรุง การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการขยายกำลังการผลิตของโรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 136,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2560-2563

แผนลงทุนดังกล่าวจะทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 10.5 ล้านตันต่อปีในปี 2560 เป็นประมาณ 15.5 ล้านตันต่อปีในปี 2563 นอกจากนี้ จากสมมติฐานการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงร่วมกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วน EBITDA ต่อตันของบริษัทจะอยู่ในช่วง 105-115 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ระดับประมาณ 30,000-50,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2561 ประมาณ 12,600 ล้านบาท ในปี 2562 จำนวน 22,200 ล้านบาท และในปี 2563 อีกประมาณ 15,900 ล้านบาท โดยประมาณการพื้นฐานยังได้รวมการเพิ่มขึ้นของส่วนทุนจำนวน 15,500 ล้านบาทจากการใช้สิทธิ์ในใบสำคัญแสดงสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม 2560 ด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 50%-55% ในช่วงประมาณการด้วยเช่นกัน

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่ดีขึ้นอันเป็นผลมาจากความสำเร็จของกลยุทธ์ในการขยายสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง รวมถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากระบบการผลิตที่ครบวงจร และกลยุทธ์ในการกระจายฐานการผลิตและฐานลูกค้าในช่วงปี 2558-2560

อันดับเครดิตอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในช่วงประมาณ 20%-25% อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการซื้อกิจการขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้จนส่งผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลง

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL)
อันดับเครดิตองค์กร A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
IVL186A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 550 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A+
IVL18OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 98 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A+
IVL18OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,302 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A+
IVL18DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 780 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A+
IVL193A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A+
IVL194A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A+
IVL205A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A+
IVL206A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 520 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A+
IVL20DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 880 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A+
IVL21OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 37 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+
IVL21OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,163 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+
IVL21OC: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+
IVL224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,250.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+
IVL224B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,649.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+
IVL225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+
IVL22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,645 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+
IVL236A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
IVL243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
IVL245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
IVL24DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,475 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
IVL25DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
IVL26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
IVL275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+
IVL28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+
IVL295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A+
IVL31OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+
IVL14PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 15,000 ล้านบาท A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ