ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” ที่ “A+” และเปลี่ยนแนวโน้มเป็น “Positive” จาก “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 29, 2017 18:00 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” แต่เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Positive” หรือ “บวก” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับสัดส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่อันดับเครดิตยังคงสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงธรรมชาติการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ตลอดจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงเปราะบางและราคาสินค้าทางการเกษตรที่ยังคงตกต่ำด้วย

บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับการปรับปรุงที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ปัจจุบัน บริษัทมีร้านค้า 2 รูปแบบคือ “โฮมโปร” และ “เมกาโฮม” ร้านโฮมโปรเป็นร้านค้ารูปแบบเดิมของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับบ้านแบบครบวงจร โดยมีพื้นที่ขายประมาณ 2,500-12,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อสาขา ในขณะที่ ร้านเมกาโฮมเป็นร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและวัสดุเกี่ยวกับบ้านทั้งในรูปแบบค้าปลีกและค้าส่งซึ่งเน้นตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนเจ้าของโครงการ ร้านค้ารายย่อย และผู้บริโภคทั่วไป โดยแต่ละสาขาของเมกาโฮมมีพื้นที่ขายประมาณ 12,000-20,000 ตร.ม. ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2560 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้น 30.2% และ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้น19.9%

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสาขาธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านของบริษัทซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศอันเป็นผลมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 101 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 27 สาขาในต่างจังหวัด 57 สาขา ในประเทศมาเลเซีย 5 สาขา และร้านค้าภายใต้รูปแบบเมกาโฮมอีก 12 สาขา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทเปิดสาขาใหม่อีกทั้งหมด 6 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปร 2 สาขาในประเทศไทยและ 3 สาขาในประเทศมาเลเซีย รวมทั้งร้านค้าเมกาโฮม 1 สาขาในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะเปิดร้านโฮมโปรอีก 1 สาขาในเมืองยะโฮ บาห์รู ประเทศมาเลเซีย ภายในปี 2560 ด้วย ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีแผนการที่จะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและมาเลเซีย

บริษัทมักนำเสนอร้านค้าในรูปแบบใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆอยู่เสมอ เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้เปิดร้านค้าโฮมโปรในรูปแบบใหม่หรือ “โฮมโปร เอส” ซึ่งเป็นร้านโฮมโปรขนาดเล็กที่เปิดในห้างสรรพสินค้าบนพื้นที่ขายขนาดประมาณ 1,200-1,500 ตร.ม.ต่อสาขา ภายใต้แนวคิด “ขนาดเล็ก แต่คัดสรร และบริการประทับใจ” (“Small, Selected, and Service”) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเมืองรวมถึงลูกค้าที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม โดยในร้านยังคงมีสินค้าที่หลากหลายซึ่งได้รับการคัดสรรเพื่อให้เหมาะกับวิถีชีวิตของคนในเมือง ในขณะเดียวกันยังคงให้บริการเหมือนกับร้านโฮมโปรแบบดั้งเดิม

บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆและความสามารถในการทำกำไรยังปรับดีขึ้นเป็นลำดับ โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับ 14.3%-15.1% ในปี 2557-2559 ซึ่งสูงกว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในธุรกิจที่มีอัตรากำไรอยู่ที่ประมาณ 8%-9% ในช่วงเดียวกัน นอกจากนี้ EBITDA margin (ปรับปรุงด้วยรายการเช่าดำเนินงาน) ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 14.8% ในปี 2557 เป็น 15% ในปี 2558 เป็น 15.4% ในปี 2559 และเพิ่มขึ้นเป็น 15.8% สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 โดยอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลมาจากการปรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ในร้านค้าโฮมโปร รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นของสินค้าที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่ามาตรการต่างๆดังกล่าวจะยังคงสร้างอัตรากำไรที่ดีให้แก่บริษัทได้ต่อไปในอนาคต

เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาสินค้าทางการเกษตรที่ยังคงตกต่ำส่งผลกระทบในด้านลบต่อการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิมทั้งของบริษัทและผู้ประกอบการรายอื่นๆในอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยยอดขายของสาขาเดิมของบริษัทเติบโตเพียง 1.1% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับปีก่อนและลดลง 2.5% และ 6.3% ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2560 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 กำลังซื้อเริ่มมีการฟื้นตัวในบางพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้ยอดขายของสาขาเดิมของบริษัทกลับมาเติบโตที่ระดับ 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายรวมเพิ่มขึ้นจาก 34,542 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 52,513 ล้านบาทในปี 2558 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) เท่ากับ 15% ในขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของเงินทุนจากการดำเนินงานเท่ากับ 17% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ยอดขายเติบโตในอัตราที่ลดลงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขเพียงหลักเดียวในปี 2559 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 แม้บริษัทจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นก็ตาม โดยบริษัทมียอดขายเท่ากับ 56,928 ล้านบาท ในปี 2559 ซึ่งเติบโตขึ้นเพียง 8.4% จากปีก่อนหน้าและเท่ากับ 44,171 ล้านบาทสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งคิดเป็นอัตราเติบโตเพียง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทให้ความสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการปรับเปลี่ยนสัดส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้น ส่งผลให้ บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 7,297 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งเติบโตขึ้น 14.1% จากปี 2558 และเป็น 5,802 ล้านบาทในงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 โดยเติบโตขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันในปี 2559

ในปี 2559 บริษัทมีการลงทุน 5,143 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระดับ 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเงินทุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอต่อการลงทุนดังกล่าว สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 นั้นบริษัทใช้เงินลงทุนไปเพียง 1,221 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 56.4% เนื่องจากบริษัทชะลอการขยายสาขาในประเทศไทยออกไป อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตราค่อนข้างสูงตั้งแต่ปี 2559 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมการเช่าดำเนินงาน) อยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ที่ 51.1% ณ สิ้นสุดเดือนกันยายนของปี 2560 จากระดับ 49.3% ในปี 2558 ในขณะที่บริษัทยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ในระดับที่ดี อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 39% ในปี 2558 ระดับ 38.6% ในปี 2559 และอยู่ที่ระดับ 44.8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) โดยอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 11.3-13.7 เท่าตั้งแต่ปี 2558 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560

ทริสเรทติ้งคาดว่ากำลังซื้อภาคเอกชนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อย่างน้อย 6 สาขาต่อปีเมื่อรวมค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมบำรุงและการลงทุนในคลังสินค้าระบบอัตโนมัติแล้วเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 2,500-4,500 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 60,000 ล้านบาทในปี 2560 เป็น 75,000 ล้านบาทภายในปี 2563 และเงินทุนจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นจาก 7,500 ล้านบาท เป็น 9,500 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็คาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 50% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะปรับตัวดีขึ้นไปมากกว่า 45%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดของบริษัทจะยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอันดับเครดิตอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดได้ตามที่คาดการณ์ ในขณะที่ยังคงสามารถรักษาโครงสร้างเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ให้อยู่ในระดับที่ดีต่อไปได้ ในทางกลับกัน แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ หรือมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการลงทุนขยายสาขาจำนวนมากหรือประสิทธิภาพในการดำเนินงานลดต่ำลง

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ