ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บล. เคจีไอ (ประเทศไทย)” ที่ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 28, 2018 15:50 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงเสถียรภาพทางธุรกิจของบริษัทและแหล่งรายได้ที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการสนับสนุนทางธุรกิจที่ชัดเจนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือ KGI Securities Co., Ltd. หรือ KGI Group ในประเทศไต้หวันด้วย ซึ่งความแข็งแกร่งดังกล่าวช่วยทำให้บริษัทมีชื่อเสียงในฐานะผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลงซึ่งเป็นธรรมชาติของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท รวมถึงแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การกระจายตัวของแหล่งรายได้ช่วยลดความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์

แหล่งที่มาของรายได้ของ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีความหลากหลายและไม่กระจุกตัวอยู่ที่เพียงเฉพาะรายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์เท่านั้น ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนของรายได้จากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ต่อรายได้รวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 40.0% ทั้งนี้ ในปี 2560 รายได้ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 30.0% ของรายได้รวมของบริษัทเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 60.0% การขยายฐานรายได้ไปในส่วนที่ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์

รายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าบริการคิดเป็น 16.0%-22.0% ของรายได้รวมต่อปีของบริษัทตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมาและคิดเป็น 22.0% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2560 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.0% รายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าบริการส่วนใหญ่มาจากรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุนที่ได้รับจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 99.0% ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุนคิดเป็น 17.0% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2560 โดยรายได้ส่วนนี้เป็นแหล่งรายได้ที่มีความผันผวนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากแหล่งอื่น ๆ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์คิดเป็น 34.5% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2560 เทียบกับสัดส่วน 28.0%-36.0% ของรายได้รวมในช่วงปี 2557-2560 โดยกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์มาจากธุรกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทในตราสารหนี้และตราสารทุน โดยสัดส่วนนี้ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 9.5% ในปี 2560 อีกด้วย

มีผลงานเป็นที่ยอมรับในการทำกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์

บริษัทมีเงินลงทุนขนาดใหญ่ที่ช่วยสร้างกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ เงินลงทุนของบริษัทซึ่งคิดเป็น 50.6% ของสินทรัพย์รวมในปี 2560 ประกอบไปด้วยตราสารหนี้ ตราสารทุน และตราสารอนุพันธ์ โดยสัดส่วนของกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์โดยเฉลี่ยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคิดเป็น 30.0% ของรายได้รวมโดยเฉลี่ยและคิดเป็น 34.0% ในปี 2560 นอกจากนี้ กำไรจำนวนมากที่ได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ยังเกิดจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ด้วย อาทิ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์และธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด

บริษัทมีกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดไม่สูงนัก อีกทั้งบริษัทยังมีการจัดสรรงบประมานสำหรับจัดการความเสี่ยงให้แก่ฝ่ายซื้อขายหลักทรัพย์แต่ละฝ่ายและมีการควบคุมดูแลความเสี่ยงโดยรวมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมดูแลธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท

ธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่แข็งแกร่งช่วยชดเชยการลดลงของส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์

ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทตามมูลค่าการซื้อขายในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.27% (อันดับ 13) ในปี 2560 จาก 3.76% (อันดับ 10) ในปี 2559 และ 3.87% (อันดับ 9) ในปี 2558 จนกระทั่ง ณ เดือนเมษายน 2561 ได้ลดลงมาอยู่ที่ 3.24% (อันดับ 12) ในขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ 2.9% ในปี 2560 ลดลงเล็กน้อยจาก 3.0% ในปี 2559

นอกจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องแล้ว อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยของบริษัทก็ลดลงเนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราค่านายหน้าค่อนข้างต่ำมีสัดส่วนคิดเป็น 68.8% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2561 เทียบกับ 67.5% ในปี 2560 อนึ่ง อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 0.10% ในปี 2560 จาก 0.15% ในปี 2554 และปี 2555

อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงของบริษัทยังได้รับการชดเชยด้วยความแข็งแกร่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ (TFEX) โดยบริษัทสามารถรักษาความเป็นอันดับหนึ่งทางด้านมูลค่าการซื้อขายตราสารอนุพันธ์เอาไว้ได้ตั้งแต่ปี 2556 ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจตราสารอนุพันธ์ของบริษัทอยู่ที่ 12.12% ในปี 2560 เมื่อเทียบกับส่วนแบ่ง 9.59% ของอันดับที่สองและ 6.55% ของอันดับที่สามในอุตสาหกรรม ส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งโดยอยู่ที่ 8.9% ในปี 2559 และปี 2560 ซึ่งบริษัทอยู่ในอันดับที่ 1 ของอุตสาหกรรมทั้ง 2 ปี

การได้รับประโยชน์จากความรู้ทางวิศวกรรมการเงินตลอดจนประสบการณ์ของ KGI Group ในประเทศไต้หวันซึ่งอยู่ในตลาดการเงินที่มีการพัฒนามากกว่ามาใช้ในประเทศไทยช่วยให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งช่วยดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัท ตัวอย่างเช่น บริษัทเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในประเทศไทย บริษัทยังมีโอกาสในการได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาดอีกด้วย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ตามมูลค่าการซื้อขายเป็นอันดับ 2 ในปี 2560 แม้ว่าการแข่งขันจะทวีความรุนแรงขึ้นก็ตาม

ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งจากการมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ

บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ปี 2558 โดยบริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 5.69% ในปี 2560 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 3.6% หนึ่งในสาเหตุหลักของผลกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทคือความสามารถในการรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิให้อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทเท่ากับ 50.5% ในปี 2560 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 63.1%

สภาพคล่องที่เพียงพอและฐานทุนที่แข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องและมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมเท่ากับ 54.2% จากการมีเงินลงทุนจำนวนมากอยู่ในตราสารทางการเงินต่างๆ ที่อยู่ในความต้องการของตลาด อีกทั้งบริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งซึ่งเพียงพอสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบันและเพียงพอสำหรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต

อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 76.3% ในปี 2558 มาอยู่ที่ 55.4% ในปี 2559 และมาอยู่ที่ 40.8% ในปี 2560 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 65.0% ที่ 60.0% และที่ 53.0% ตามลำดับ แม้ว่าอัตราส่วนเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวลดลง แต่ทริสเรทติ้งเชื่อว่าฐานเงินทุนของบริษัทจะยังเพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคตและเพียงพอสำหรับการรองรับความเสี่ยงจากการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ เดือนมีนาคม 2561 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 44.0% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้ที่ระดับ 7.0%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้และมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีความผันผวนอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การลงทุนในหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดต่ำลงอย่างมาก รวมทั้งในกรณีที่บริษัทไม่สามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ และไม่สามารถรักษารายได้ที่สม่ำเสมอจากรายได้จากการจัดการกองทุนของบริษัทลูกได้
?
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน (KGI)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KGI19NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A-
KGI20NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 550 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ