ทริสเรทติ้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 พร้อมทั้งประกาศลดอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทเป็นระดับ “A” จาก “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”
การปรับลดอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากการซื้อกิจการด้วยเงินทุนจำนวนมาก ปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างขั้นตอนการซื้อกิจการของ NH Hotel Group SA (NHH)
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าภาระหนี้ของบริษัทที่ประเมินจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่ออัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) โดยไม่รวมรายการพิเศษและปรับปรุงแล้วจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5-6 เท่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตเดิมที่ระดับ “A+”
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งของบริษัทในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร รวมถึงแหล่งรายได้ที่หลากหลายทั้งจากแบรนด์ที่แข็งแกร่งและทำเลที่ตั้ง หากการซื้อกิจการของ NHH ประสบความสำเร็จตามแผนก็จะยิ่งเสริมฐานะทางธุรกิจของบริษัทให้แข็งแกร่งมากขึ้นจากโอกาสในการขยายธุรกิจสู่ทวีปยุโรปด้วยการเพิ่มจำนวนโรงแรมในทำเลใหม่ ๆ และการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน การทบทวนอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะที่ผันผวนและอ่อนไหวต่อความเสี่ยงที่เกิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ของธุรกิจโรงแรมด้วย อย่างไรก็ดี การกระจายตัวของธุรกิจก็มีส่วนช่วยลดความกังวลเหล่านี้ลงไปได้ในระดับหนึ่ง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการของ NHH
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากการซื้อกิจการของ NHH โดยภาระหนี้ของบริษัทที่ประเมินจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA ที่ไม่รวมรายการพิเศษและปรับปรุงแล้วจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 5-6 เท่า จากระดับ 4 เท่าก่อนหน้าที่บริษัทจะเข้าทำรายการ โดยสมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะซื้อหุ้นของ NHH ในสัดส่วน 51%-55% ภายในสิ้นปี 2561 นี้ มูลค่าการซื้อกิจการจะอยู่ที่ 1.3-1.4 พันล้านยูโร และเงินทุนในการซื้อกิจการจะมาจากการกู้ยืม
คาดว่าบริษัทจะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.8 หมื่นล้านบาท เมื่อ 31 มีนาคม 2561 ไปอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.25 แสนล้านบาทหลังการซื้อกิจการ ภาระหนี้ของบริษัท (ปรับปรุงด้วยภาระค้ำประกันและภาระผูกพันที่มีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องและสัญญาเช่าดำเนินงาน) จะเพิ่มจาก 6.05 หมื่นล้านบาท ไปอยู่ที่ 2.1-2.2 แสนล้านบาทหลังจากการรวมผลประกอบการทางการเงินและผลการดำเนินงานของ NHH เข้ามา เนื่องจาก NHH มีมูลค่าสัญญาเช่าดำเนินงานที่สูง
ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงกรณีที่บริษัทซื้อหุ้นของ NHH ในสัดส่วนที่น้อยกว่าหรือมากกว่า 51%-55% และได้พิจารณาแผนการใช้แหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อหุ้นตามที่บริษัทประกาศ ซึ่งในทุกกรณีก็จะส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับใกล้เคียงกับสมมติฐานหลักของทริสเรทติ้ง
สถานะธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้งมองว่าการซื้อกิจการของ NHH จะช่วยส่งเสริมธุรกิจโรงแรมของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน กล่าวคือ NHH เป็นผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ในทวีปยุโรปโดยมีโรงแรมภายใต้การดำเนินงานจำนวน 382 แห่งด้วยจำนวนห้องพักรวม 59,350 ห้องซึ่งเปิดให้บริการอยู่ใน 30 ประเทศ โรงแรมส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่มีผู้เข้าพักหลักเป็นกลุ่มนักธุรกิจและมีราคาห้องพักอยู่ในระดับกลางถึงสูง โดยตั้งอยู่ในทำเลที่ดีในเมืองสำคัญต่าง ๆ ของทวีปยุโรปที่โอกาสในการเพิ่มโรงแรมใหม่ ๆ มีจำกัด โรงแรมของ NHH จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทโดยโรงแรมของบริษัทที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่มีลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวและตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ประเทศอื่นในเอเชีย และโปรตุเกส เป็นหลัก ดังนั้น เมื่อการซื้อกิจการสำเร็จเรียบร้อยก็จะทำให้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทขยายใหญ่ขึ้นซึ่งจะทำให้บริษัทมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นและสามารถรับมือกับลักษณะที่ผันผวนและความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอกของธุรกิจโรงแรมได้เป็นอย่างดี
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการซื้อกิจการดังกล่าวจะสร้างประโยชน์จากการดำเนินงานร่วมกันและจะสร้างโอกาสในการเติบโตของบริษัทในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ธุรกิจโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทรวมถึงอำนาจในการต่อรองกับคู่ค้า เช่น กลุ่มบริษัทท่องเที่ยว มีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังจะได้รับประโยชน์ทั้งในด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน โปรแกรมสะสมคะแนนที่ใช้ร่วมกันได้ ช่องทางการจำหน่ายที่มีฐานลูกค้าใหญ่ขึ้น และการใช้ประโยชน์จากแบรนด์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
?
ธุรกิจร้านอาหารยังคงมีความท้าทาย
ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจร้านอาหารของบริษัทจะยังคงมีแรงกดดันจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดหลัก ๆ ที่บริษัทดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และจีน บริษัทได้ดำเนินการในหลาย ๆ รูปแบบเพื่อรับมือกับความท้าทายไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเมนู พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การปรับปรุงกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและการตลาดเชิงรุก รวมไปถึงการปรับจำนวนร้านให้เหมาะสม หรือการควบคุมต้นทุน เป็นต้น ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายจากร้านเดิม (Same-Store-Sales) ของบริษัทจะใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าหรือเติบโตเพียงเล็กน้อยในปี 2561-2562 รวมทั้งคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจร้านอาหารของบริษัทจะเติบโตในอัตราเลขหลักเดียวในช่วงเวลาดังกล่าว
หลังจากการนำผลประกอบการทางการเงินและผลการดำเนินงานของ NHH เข้ามารวมกับของบริษัทแล้ว ธุรกิจร้านอาหารจะมีสัดส่วนยอดขายและกำไรที่น้อยลง ทั้งนี้ ก่อนการซื้อกิจการของ NHH ธุรกิจร้านอาหารมีสัดส่วน 40% ของยอดขายและ 35% ของ EBITDA ในแต่ละปี แต่หลังจากการควบรวมกิจการตามสมมติฐานว่าบริษัทจะถือหุ้น NHH ที่ 51%-55% สัดส่วนรายได้จากธุรกิจร้านอาหารน่าจะลดลงอยู่ที่ 15%-20% ของยอดขายทั้งหมดและ EBITDA อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าธุรกิจร้านอาหารยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาพรวมธุรกิจของบริษัทเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่มีความผันผวนน้อยกว่าธุรกิจโรงแรมและสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
รายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการซื้อกิจการของ NHH
การซื้อกิจการของ NHH จะทำให้ขอบเขตการดำเนินงานและรายได้ของบริษัทมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น สมมติฐานของ
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะเติบโต 6%-8% อยู่ที่ 5.8-5.9 หมื่นล้านบาทในปี 2561 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมในประเทศไทยและโปรตุเกส ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะเติบโตที่ระดับ 7%-9% และรายได้รวมของธุรกิจโรงแรมเติบโตที่ประมาณ 14%-16% ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหารและจัดจำหน่ายสินค้าจะเติบโตเล็กน้อยจากภาวะการบริโภคที่ยังคงอ่อนตัว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท
รายได้ของบริษัทจะเพิ่มเป็น 2 เท่าหลังจากมีการรวมงบการเงินของ NHH เข้ามาในปี 2562 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ถึงระดับ 1.26-1.32 แสนล้านบาทในปี 2562-2563 และจะมี EBITDA อยู่ที่ระดับ 2.4-2.6 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว
มีสภาพคล่องอยู่ในระดับดี
ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอโดยพิจารณาจากแหล่งเงินทุนและความต้องการใช้ โดย
ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าแหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะประกอบไปด้วย EBITDA อย่างน้อยที่จำนวน 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือ จำนวน 5.6 พันล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 2.17 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2561 ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 7 พันล้านบาทและมีแผนการลงทุนประมาณ 8-10 พันล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การซื้อกิจการของ NHH จะใช้วงเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีธุรกิจที่หลากหลายทั้งประเภทและทำเลที่ตั้ง โดยทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการรวมธุรกิจกับ NHH และจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดขึ้นในกรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งจนทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วลดลงไปอยู่ที่ระดับก่อนการซื้อกิจการของ NHH ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านั้นมีจำกัดแต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้การก่อหนี้
?
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
MINT18OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A
MINT193A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A
MINT205A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A
MINT213A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 2,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A
MINT21OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A
MINT228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A
MINT249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A
MINT255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A
MINT283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A
MINT313A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A
MINT329A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable