ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ในการเป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ตลอดจนรายได้ประจำจากค่าเช่าคลังสินค้าภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว รายได้เงินปันผลและความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุน ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตได้คำนึงถึงการฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาดของค่าใช้จ่ายโฆษณา และสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงในธุรกิจติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลงานเป็นที่ยอมรับในธุรกิจสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย
เราคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาการเป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ไว้ได้ บริษัทมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยมา 10 ปี ในปี 2558-2560 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 4%-5% เมื่อพิจารณาจากยอดขาย อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทค่อนข้างเล็ก และห่างจากส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) (PLAN B) ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2560 ประมาณ 40%
รายได้ประจำและอัตรากำไรคงที่
เราประมาณการว่าบริษัทจะได้รับกระแสเงินสดประจำจากสัญญาเช่าระยะยาวในธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทั้งหมดประมาณ 360 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2561-2563 โดยรายได้ค่าเช่าคาดว่าจะเติบโต1%-4%ต่อปี ตามอัตราการปรับค่าเช่าในสัญญาเช่า อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าจะยังคงสูงที่ 95% ในระหว่างปี 2561-2563
บริษัทจะได้รับเงินปันผลประมาณปีละ 100-180 ล้านบาท ในระหว่างปี 2561-2563 จากการลงทุนในบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO อันดับเครดิตองค์กรเท่ากับ BBB แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่”) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านการให้บริการสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย บริษัทถือหุ้น 38.9% ใน EPCO
อัตรากำไรลดลง
เราคาดการณ์ว่าอัตรากำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะลดลง โดยอัตรากำไรของบริษัทอยู่ในช่วง 43%-58% ในปี 2558-2560 และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 43%-50% ในระหว่างปี 2561-2563 จากการแข่งขันที่สูงจากผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น PLAN B และ บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (VGI)
แม้ว่าอัตรากำไรของบริษัทจะปรับตัวลดลง แต่อัตรากำไรของบริษัทยังคงอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับอัตรากำไรของบริษัทสื่อโฆษณาอื่นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ระดับ 30%-40%
อัตรากำไรของบริษัทในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงคาดว่าจะยังอยู่ในระดับเดิม รายได้ค่าเช่าจากคลังสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าคาดว่าจะอยู่คงระดับคงเดิมที่ 88% ในระหว่างปี 2561-2563
เงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้น
เราประมาณการว่าเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วงปี 2561-2563 เงินปันผลรับจากการลงทุนใน EPCO จะช่วยทำให้บริษัทมีกำไรและกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะยังคงปรับตัวสูงขึ้นเป็น 520-540 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2561-2563 จากเดิมที่ระดับ 430-500 ล้านบาท นอกจากนี้กำไรและเงินสดที่เพิ่มขึ้นในปี 2558-2560 ยังเกิดจากการที่บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลงด้วย
เงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ของบริษัทที่วัดได้จากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 17%-20% จาก 9%-18% ในปี 2558-2560 นอกจากนี้เรายังคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 5-6 เท่า ในระหว่างปี 2561-2563
ภาระหนี้สินทางการเงินปรับตัวลดลง
เราคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวลดลงจากการเพิ่มขึ้นของกำไรของบริษัท แหล่งเงินทุนระยะยาวของบริษัทประกอบด้วยเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ คิดเป็น 90% ของภาระหนี้สินรวม บริษัทมีภาระหนี้สินรวมเท่ากับ 1,972 ล้านบาท
ณ เดือนมีนาคม 2561 เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วงปี 2561-2563 อยู่ที่ประมาณ 300-570 ล้านบาทต่อปี และมีภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 574 ล้านบาท
เราคาดว่าบริษัทจะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด โดยคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 500-550 ล้านบาท ในช่วงปี 2561-2563 บริษัทมีเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ณ เดือนมีนาคม 2561 รวมเท่ากับ 110 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความยืดหยุ่นทางการเงินอีกส่วนหนึ่งของบริษัท
เราคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวลดลงเป็น 1,700-2,000 ล้านบาท โดย บริษัทลดแผนการเงินเพื่อการลงทุนเหลือเพียง 60 ล้านบาทต่อปี ในระหว่างปี 2561-2563 จากที่เคยอยู่ที่ระดับ 250-270 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2559-2560 บริษัทจะยังคงสร้างเครือข่ายป้าย LED (Light-Emitting Diode) ด้วยจำนวนเงินที่น้อยลง ดังนั้นคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะปรับตัวลดลงเป็น 29%-35% ในช่วงปี 2561-2563
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยได้ต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอและรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า40%
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดและเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ของบริษัทยังคงที่หรือปรับเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการแข่งขันที่สูงในอุตสาหกรรมติดตั้งสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ การขยายธุรกิจที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินและระดับความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็เป็นปัจจัยที่นำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (AQUA)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable