ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A+” จากเดิมที่ระดับ “AA-“ การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงภายหลังจากการกู้เงินเพื่อซื้อกิจการขนาดใหญ่และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก รวมถึงการมีสินค้าและฐานลูกค้าที่หลากหลาย และตราสัญลักษณ์สินค้าที่เป็นที่รู้จักทั้งในทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกจำกัดโดยความเสี่ยงในหลายด้านของอุตสาหกรรมอันได้แก่ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ ความเสี่ยงจากโรคระบาด ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบทางการค้าและกฎเกณฑ์การจับปลาทั่วโลก นอกจากนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรายังส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางการเงินอ่อนแอลงภายหลังจากการกู้เงินเพื่อซื้อกิจการร้านอาหาร Red Lobster
บริษัทมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นมากจากการกู้เงินเพื่อลงทุนในกิจการ “Red Lobster” ซึ่งเป็นธุรกิจร้านอาหารทะเลในทวีปอเมริกาเหนือในช่วงปลายปี 2559 ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีเงินกู้รวม 67,693 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 41,026 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับประมาณ 11,000 ล้านบาทในช่วงปี 2558-2559 และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาทในปี 2560 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 6.6 เท่าในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.3 เท่าในปี 2558
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากเนื่องจากกำไรที่ลดลงและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 14.1% ในปี 2560 ลดลงจากระดับ 23.1% ในปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 4.7 เท่าในปี 2560 ลดลงจากระดับ 7.2 เท่าในปี 2558
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหาร
Red Lobster ไม่เป็นไปตามที่คาด ล่าสุดบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนจากกิจการดังกล่าว ทริสเรทติ้งเชื่อว่าต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าที่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในครั้งนี้
เป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุดในโลกและมีผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่หลากหลาย
บริษัทเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการผลิตประมาณ 290,000 ตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุกระป๋องทั่วโลก บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มผู้ผลิตอาหารทะเลระดับโลก นอกเหนือจากปลาทูน่าแล้ว สินค้าอาหารทะเลของบริษัทยังประกอบไปด้วย กุ้ง ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอร์เรลด้วย
การมีฐานการผลิตขนาดใหญ่ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าและมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบที่เหนือกว่าผู้ผลิตรายเล็ก ทั้งนี้ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทยังเพิ่มขึ้นจากความสามารถในการใช้ผลผลิตพลอยได้ เช่น การนำก้าง หนังปลา และน้ำมันปลามาใช้ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารกุ้ง และผลิตภัณฑ์ล่าสุดของบริษัทคือน้ำมันปลา
ในปี 2560 ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ามีสัดส่วนมากที่สุดในยอดขายของบริษัทโดยคิดเป็น 35% ของยอดขายรวม รองลงมาคือกุ้งแช่แข็งและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (28%) ปลาแซลมอน (9%) ปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล (8%) อาหารสัตว์เลี้ยง (7%) และผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและอื่น ๆ (13%)
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์
การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ทั้งในด้านฐานการผลิตและแหล่งรายได้ช่วยลดทอนความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทลงได้บางส่วน บริษัทมีฐานการผลิตกระจายตัวอยู่ใน 13 ประเทศซึ่งครอบคลุม 4 ทวีป บริษัทยังมีการกระจายตัวของแหล่งรายได้ด้วยเช่นกัน โดยรายได้จากประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 38% ของรายได้รวมในปี 2560 รองลงมาคือตลาดยุโรป 32% ประเทศไทย 10% และประเทศญี่ปุ่น 6% ความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์จะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดจากโรคระบาด ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบทางการค้า และกฎเกณฑ์การจับปลาทั่วโลกได้ในระดับหนึ่ง
?
สถานะที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรปและตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักในประเทศสหรัฐอเมริกา
บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและมีตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักทั้งในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา Thai Union Europe (TUE) เดิมชื่อ MW Brands SAS เป็นเจ้าของตราสินค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างดีในยุโรปจำนวนมาก ได้แก่ John West, Petit Navire, Mareblu และ Hyacinthe Parmentier ปัจจุบัน John West มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร ประเทศไอร์แลนด์ และประเทศเนเธอร์แลนด์ ส่วนในด้านของยอดขายนั้น ในปี 2560 John West มีส่วนแบ่งทางการตลาด 41% ในสหราชอาณาจักร 69% ในประเทศไอร์แลนด์ และ 28% ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นข้อมูลของ AC Neilsen ที่ทริสเรทติ้งได้รับจากผู้บริหารของ TUE นอกจากนี้ Petit Navire ยังเป็นอีกหนึ่งตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาด 45% ในประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา Chicken of the Sea เป็นปลาทูน่าบรรจุกระป๋องที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับสามที่ระดับ 13% ในปี 2560 ในขณะที่ Starkist เป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุด (45%) รองลงมาคือ Bumble Bee (25%)
อัตรากำไรมีความผันผวน
ผลประกอบการของบริษัทขึ้นอยู่กับราคาขายและต้นทุนของปลาทูน่าและกุ้งซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 13%-16% แม้ว่าบริษัทจะตั้งราคาขายสินค้าโดยการบวกกำไรเพิ่มจากต้นทุน แต่บริษัทมักจะประสบปัญหาในการปรับเพิ่มราคาขายในช่วงที่ต้นทุนวัตถุดิบและอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนอย่างมาก ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนปลาทูน่า การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร ตลอดจนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงล้วนส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทลดลงในช่วงปี 2560 และครึ่งแรกของปี 2561 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ระดับ 13.3% ในปี 2560 และ 12.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
นอกจากนี้ กำไรของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากการเสียค่าปรับอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทย่อยของบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตกลงจ่ายชำระค่าชดเชยให้แก่ร้านค้าปลีกรายใหญ่แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาภายใต้คดีต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) และอยู่ในระหว่างการเจรจาในคดีอื่น ๆ อีกบางส่วน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษซึ่งเป็นมูลค่าที่สะท้อนความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคดีเหล่านี้เป็นมูลค่า 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,400 ล้านบาท) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงเหลือ 5.5% ในปี 2560 และเหลือ 1.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เทียบกับระดับ 7.3%-8.4% ในปี 2557-2559 กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 10,110 ล้านบาทในปี 2560 และลดลง 50.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 2,528 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อไป
ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาปลาทูน่าที่เพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงมีความผันผวน ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ต้นทุนปลาแซลมอนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของร้าน Red Lobster และค่าใช้จ่ายด้านคดีความจะยังคงเป็นปัจจัยลดทอนอัตรากำไรของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกลยุทธ์ในการเพิ่มอัตรากำไรด้วยการออกผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยยกระดับรายได้และอัตรากำไรของบริษัท
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 148,600 ล้านบาทในปี 2564 จาก 136,535 ล้านบาทในปี 2560 ในกรณีไม่มีการซื้อกิจการขนาดใหญ่ ทั้งนี้อัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6%-8% ในปี 2561-2564 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13,500 ล้านบาทในปี 2564 จากระดับ 10,110 ล้านบาทในปี 2560 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ในระดับไม่เกิน 50% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเอาไว้ได้จากการประหยัดจากขนาดและความมีประสิทธิภาพในการผลิต
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html