ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ไทยเบฟเวอเรจ” ที่ “AA” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 16, 2018 16:30 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA” โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนการมีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ และแหล่งรายได้ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนภาระหนี้ที่สูงของบริษัท รวมถึงกฎระเบียบที่เข้มงวด และการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลการดำเนินงานในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มภายในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 รายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มภายในประเทศของบริษัทปรับตัวลดลง 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอลงซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าทางการเกษตรที่ปรับตัวลดลง อัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจึงปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 15.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 เมื่อเทียบกับระดับ 17.4% ในปีงบประมาณ 2560 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการบริโภคเครื่องดื่มภายในประเทศจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 เนื่องจากภาครัฐมีการใช้งบประมาณมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับการฟื้นตัวของราคาสินค้าทางการเกษตร ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มภายในประเทศของบริษัทจะฟื้นตัวและจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ต่อปีในช่วงปีงบประมาณ 2562-2564 อีกทั้งยังประเมินว่าอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 17%

ความพยายามที่ต่อเนื่องในการเพิ่มแหล่งรายได้

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งในการซื้อกิจการคือการเพิ่มแหล่งรายได้ใน 2 มิติคือทั้งในด้านประเภทของสินค้าและในด้านพื้นที่ทางการตลาด ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทมีการลงทุนที่สำคัญ 3 รายการทั้งในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยบริษัทซื้อหุ้นจำนวน 75% ของกลุ่ม Grand Royal (GRG) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสุรารายใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมา หลังจากนั้นบริษัทก็ได้ซื้อกิจการร้าน KFC จำนวน 252 สาขาในประเทศไทยจาก Yum Restaurants International (Thailand) Co., Ltd. และได้ซื้อหุ้นในสัดส่วน 53.59% ใน Saigon Beer-Alcohol-Beverage Joint Stock Corporation (Sabeco) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม

การซื้อกิจการดังกล่าวสร้างประโยชน์หลายประการให้แก่บริษัท เช่น เพิ่มกระแสเงินสด เพิ่มความหลากหลายของแบรนด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท และขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน โดยรายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 3% ของยอดขายในปีงบประมาณ 2560 เป็นมากกว่า 25% ของยอดขายในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศและช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ น้อยลง นอกจากนี้ ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศเมียนมาและเวียดนามก็มีโอกาสเติบโตสูงเมื่อเทียบกับตลาดที่อิ่มตัวในประเทศไทย

สถานะที่แข็งแกร่งในตลาดเครื่องดื่ม

บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานานโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามปริมาณการขายสำหรับสุรามากกว่า 90% และสำหรับเบียร์ประมาณ 40% นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มและน้ำดื่ม และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายสำคัญในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ อีกด้วย สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น Sabeco เป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนามซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 40% ในขณะที่กลุ่ม Grand Royal ก็เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสุราสีรายใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมาซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากว่า 70%

มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง

บริษัทมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมร้านค้าปลีกในประเทศไทยมากกว่า 400,000 ร้าน โดยมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 4 แห่ง และมีรถขนส่งสินค้า 7,300 คัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายกว่า 300 รายและมีพนักงานขายมากกว่า 1,300 คน อีกทั้งยังขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนผ่านบริษัทในเครือที่สำคัญ ๆ ด้วย อาทิ Fraser and Neave Ltd. (F&N) ซึ่งมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดของตนเองในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ส่วนการซื้อกิจการอื่น ๆ อีกหลายแห่งล่าสุดยังช่วยเพิ่มเครือขายในการกระจายสินค้าในประเทศเมียนมา และเวียดนามอีกด้วย

?

กฎระเบียบภาครัฐจำกัดการเติบโตในประเทศ

การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับผลกระทบจากการควบคุมดูแลที่เข้มงวดของภาครัฐ กล่าวคือ หน่วยงานภาครัฐมีการออกกฎระเบียบมากมาย อาทิ การจำกัดการโฆษณาและการทำกิจกรรมทางการตลาด การกำหนดเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น กฎระเบียบดังกล่าวทำให้การเพิ่มยอดจำหน่ายและการทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ กระทำได้ยากแม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ การเก็บภาษีสรรพสามิตยังเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐนำมาใช้เพื่อลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย โดยรัฐมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตค่อนข้างบ่อย ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการขึ้นภาษีสรรพสามิตถึง 5 ครั้ง ในอดีตนั้นบริษัทสามารถรักษาอัตราการทำกำไรโดยการส่งผ่านภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภคซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายลดลงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่อยู่ในระดับต่ำ อัตราการทำกำไรหรือปริมาณการจำหน่ายของบริษัทจึงมีโอกาสที่จะสูงมากกว่าระดับในปัจจุบันหากมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตที่ไม่บ่อยเกินไป

คาดว่าภาระหนี้จะลดลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3 ปี ข้างหน้า ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระดับ 221,507 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 เมื่อเทียบกับระดับ 35,205 ล้านในปีงบประมาณ 2560 หลังจากที่บริษัทมีการซื้อกิจการจำนวนมากในปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็น 5.5 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 จาก 1.0 เท่าในปีงบประมาณ 2560 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 เมื่อเทียบกับ 35,403 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2560 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากผู้บริหารของบริษัทได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการลดภาระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับ 3.5 เท่าในปีงบประมาณ 2564

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

สถานะสภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดจำนวน 13,033 ล้านบาทและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 10,086 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 35,000 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า รวมทั้งยังมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ อีกประมาณ 65,000 ล้านบาท เมื่อรวมสภาพคล่องทั้งหมดของบริษัทแล้วคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้และการลงทุนของบริษัทในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้สินระยะยาวที่จะต้องชำระประมาณ 9,016 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 4,875 ล้านบาท ในขณะที่จะต้องใช้งบลงทุนจำนวนประมาณ 5,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2562

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 1.56 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 3 เท่า อีกทั้งยังมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ณ เดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 5.36 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 6 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 1.65 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 3 เท่า

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะที่แข็งแกร่งทั้งในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในประเทศและต่างประเทศได้ต่อไป อีกทั้งจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ลดลงได้ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 280,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 โดยอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับประมาณ 17% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2561 จาก 32,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2561 บริษัทตั้งงบลงทุนตามปกติที่จำนวนระหว่าง 5,000-8,000 ล้านบาทในช่วงปีงบประมาณ 2562-2564 การที่บริษัทไม่มีการลงทุนที่สำคัญในระยะ 3 ปีข้างหน้าจึงทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงอย่างสม่ำเสมอ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 20% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 7 เท่า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับลดต่ำกว่า 2.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าเดิมซึ่งอาจเป็นผลมาจากการทำกำไรที่ถดถอยลงอย่างมากหรือภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ThaiBev)
อันดับเครดิตองค์กร: AA
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TBEV203A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 AA
TBEV213A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 AA
TBEV233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA
TBEV253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA
TBEV283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 14,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ