ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. โรงพิมพ์ตะวันออก” เป็น “BBB-” จาก “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 7, 2018 17:35 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB-” จากระดับ “BBB” การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงระดับหนี้สินที่สูงขึ้นจากการลงทุนขนาดใหญ่ การใช้สัดส่วนหนี้สินในระดับสูงทำให้ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทลดลง

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทและประวัติการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานในธุรกิจการพิมพ์ ตลอดจนกำไรจากธุรกิจหลักแม้ว่าแนวโน้มการเติบโตจะมีจำกัด และกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า อันดับเครดิตถูกลดทอนลงบางส่วนจากแนวโน้มของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ที่หดตัวลง ภาระหนี้สินที่สูงขึ้นจากการขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า และความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การก่อหนี้ในระดับสูงเป็นผลให้อันดับเครดิตลดลง

อันดับเครดิตของบริษัทถูกปรับลดลงจากการก่อภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ทั้งในธุรกิจโรงพิมพ์และธุรกิจไฟฟ้า บริษัทจะใช้เงินราว 420 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้น 84.5% ของบริษัท ดับบลิวพีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (WPS) เพื่อขยายไปยังธุรกิจบรรจุภัณฑ์ การเติบโตอย่างรวดเร็วของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) และธุรกิจขนส่งทำให้บริษัทตัดสินใจขยายไปยังธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ยังเป็นการขยายพื้นที่สำหรับธุรกิจโรงพิมพ์อีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะใช้เงินราว 200 ล้านบาทเพื่อซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์อีกด้วย

ทริสเรทติ้งคาดว่าการเพิ่มกำลังการผลิตนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 300 ล้านบาทต่อปีหลังจากดำเนินงานเต็มกำลังการผลิตได้ในช่วงกลางปี 2562 อย่างไรก็ตาม ข้อด้อยของการลงทุนในครั้งนี้มาจากการที่บริษัทใช้เงินกู้ทั้งหมดในการเข้าซื้อหุ้น WPS

นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนขนาดใหญ่ในธุรกิจไฟฟ้า โดยจะใช้เงินประมาณ 5,100 ล้านบาทสำหรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามและญี่ปุ่นในช่วงปี 2561 และ 2562 เป็นผลให้บริษัทมีภาระหนี้สินในระดับสูงตลอดช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งและประวัติการดำเนินงานที่ยาวนาน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจบริการด้านสิ่งพิมพ์โดยพิจารณาจากฐานรายได้และสินค้าที่หลากหลาย บริษัทสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้าและมีผลงานที่ยาวนาน

แม้ว่าธุรกิจการพิมพ์และสิ่งพิมพ์จะซบเซาอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทก็ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่งได้ เมื่อพิจารณาเฉพาะธุรกิจสิ่งพิมพ์แล้ว บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน(อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ในระดับสูงกว่า 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมการพิมพ์มีแนวโน้มหดตัว

ความแข็งแกร่งในธุรกิจการพิมพ์ของบริษัทถูกลดทอนบางส่วนจากแนวโน้มที่หดตัวของอุตสาหกรรมการพิมพ์โดยส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ในบริการด้านการพิมพ์ที่ลดลง อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของการใช้งานอินเตอร์เนตและสื่อดิจิตอลส่งผลให้มีความต้องการในสื่อสิ่งพิมพ์ลดลง

รายได้จากงานพิมพ์ของบริษัทอยู่ในระดับ 400-500 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2558-2560 โดยลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ราว 650 ล้านบาทต่อปี โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ผลการดำเนินงานของธุรกิจสิ่งพิมพ์ต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ โดยรายได้ของบริษัทลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.5% ในปี 2560 เป็น 22.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ในระยะยาวธุรกิจสิ่งพิมพ์ยังคงไม่มีสัญญาณฟื้นตัว

ทริสเรทติ้งมองว่าการที่บริษัทขยายการดำเนินงานไปยังธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะทำให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัทฟื้นตัวและเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีความท้าทายในการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งนี้ บรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษมีผู้แข่งขันในตลาดอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งต่างจากบรจุภัณฑ์ประเภทโลหะและแก้วที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายในอุตสาหกรรม

ประโยชน์จากกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจไฟฟ้า

อันดับเครดิตพิจารณารวมถึงกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจการผลิตไฟฟ้าซึ่งส่งผลดีต่อบริษัท โดยบริษัทเริ่มเข้าสู่ธุรกิจไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2555 ผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) (ได้รับอันดับเครดิต “BBB-/Stable”) ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นใน EP จำนวน 75% ธุรกิจไฟฟ้าทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่มั่นคงมากขึ้นและมีฐานรายได้โดยรวมสูงขึ้น?

ธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว ณ เดือนกันยายน 2561 สินทรัพย์ของธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็น 67% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ธุรกิจไฟฟ้ายังมีสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 65% ของตัวเลขรวมของบริษัท

เนื่องจากโอกาสเติบโตของธุรกิจไฟฟ้าในประเทศไทยมีค่อนข้างจำกัด บริษัทจึงตัดสินใจขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 3 โครงการในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2562 นอกจากนี้ บริษัทเพิ่งประกาศการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 2 โครงการในประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตรวม 99.6 เมกะวัตต์ โดยต้องใช้เงินลงทุนราว 2,800 ล้านบาท

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามจะคิดเป็น 20% ของกำลังการผลิตทั้งหมด โดยมีกำหนดเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2562 ขณะที่โครงการในประเทศญี่ปุ่นมีกำหนดเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2562 การลงทุนดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่มั่นคงมากขึ้น ตามประมาณการกรณีฐาน บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 550-900 ล้านบาทในปี 2561-2562 จากราว 400 ล้านบาทต่อปีในปีก่อนๆ และจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 1,400-1,500 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ความเสี่ยงในการดำเนินงานของโครงการใหม่

ทริสเรทติ้งเห็นว่าการลงทุนในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงสูงกว่าโครงการต่างๆ ในประเทศไทยและญี่ปุ่น แม้ว่าการลงทุนนั้นจะช่วยขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทก็ตาม แต่บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่าง ๆ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น เช่น ความเสี่ยงของประเทศที่เข้าไปลงทุน ความเสี่ยงด้านกฎหมาย ความเสี่ยงจากการบังคับใช้สัญญา ความล่าช้าในการก่อสร้าง ราคารับซื้อไฟฟ้าที่อาจเปลี่ยนแปลง เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการยังมีความเสี่ยงจากคู่สัญญาที่สูงกว่าเดิม คือการไฟฟ้าแห่งประเทศเวียดนาม (Electricity of Vietnam -- EVN) ซึ่งเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายเดียวในเวียดนาม ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศเวียดนามจะมีศักยภาพในการเติบโต แต่พัฒนาการของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังจัดว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น โดยเวียดนามมีประสบการณ์ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สั้นกว่าประเทศไทยและญี่ปุ่น

ในขณะนี้บริษัทเผชิญความเสี่ยงด้านการก่อสร้าง เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามได้ประกาศที่จะสนับสนุนไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน โดยกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าแบบคงที่ (Fixed feed-in-tariff -- FiT) จำนวน 0.0935 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ราคารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวจะจ่ายให้แก่โรงไฟฟ้าที่สามารถเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2562 เท่านั้น ดังนั้นความล่าช้าในการก่อสร้างจะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนของโครงการ ทั้งนี้ ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลสำหรับราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่เริ่มผลิตหลังผ่านพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านการก่อสร้างถูกลดทอนบางส่วนจากเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและหนังสือค้ำประกันที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่โรงไฟฟ้าไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันตามที่กำหนด โดยมีเหตุล่าช้ามาจากผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัทไม่ต้องจ่ายค่างานก่อสร้างในงวดสุดท้าย

โครงสร้างเงินทุนมีภาระหนี้สินในระดับสูง

บริษัทมีการก่อภาระหนี้สินมากกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้ จากการที่บริษัทขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศซึ่งทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินสูงที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ภายใต้เกณฑ์งบการเงินรวม บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 1,300 ล้านบาทในปี 2561 และสูงถึง 4,300 ล้านบาทในปี 2562 เพื่อใช้ลงทุนในโครงการต่างประเทศของบริษัท ตามประมาณการกรณีฐาน เงินกู้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,700 ล้านบาทในปี 2562 จาก 6,021 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2561 การก่อภาระหนี้สินในระดับสูงจะกดดันให้บริษัทมีความยืดหยุ่นด้านการเงินลดลง นอกจากนี้ เรายังคาดว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัทจะสูงขึ้นจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูงขึ้น

ตามประมาณการกรณีฐาน เราประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ในระดับเกือบ 70% ในปี 2561 และจะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงจนต่ำกว่า 60% ในปี 2563 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินในระดับต่ำที่ 3.7% ในปี 2560 และจะยังคงอยู่ในระดับ 4%-5% ในปี 2561-2562 โดยอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวขึ้นไปเกิน 10% ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ความไม่สอดคล้องของอายุเงินกู้และโครงการระยะยาว

บริษัทมีภาระเงินกู้ที่ไม่สอดคล้องกับโครงการระยะยาว โดยในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นบางแห่ง บริษัทกู้ยืมเงินจากธนาคารซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปีครึ่ง และบริษัทมีภาระต้องชำระคืนครั้งเดียวเมื่อครบกำหนด อายุของวงเงินกู้ที่ไม่สอดคล้องกับกระแสเงินสดจากโครงการระยะยาวทำให้บริษัทมีภาระต้องชำระคืนเงินกู้ก้อนใหญ่ในปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังก่อภาระหนี้ในรูปแบบของหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินเพื่อใช้ลงทุนบางส่วนในธุรกิจโรงไฟฟ้าด้วย

ปัจจุบัน บริษัทมีภาระจ่ายคืนเงินกู้และหุ้นกู้จำนวน 1,200-1,400 ล้านบาทในปี 2562-2563 และเกือบ 2,200 ล้านบาทในปี 2564 ขณะที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 500-1,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างระมัดระวังในช่วงพัฒนาโครงการได้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าโครงการที่ลงทุนใหม่จะสร้างผลตอบแทนได้ตามที่คาดไว้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะชดเชยรายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ลดลง ขณะเดียวกันทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้แล้วเสร็จและสามารถเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนและโรงไฟฟ้าแห่งใหม่มีผลการดำเนินงานที่ดีตามคาด นอกจากนี้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะไม่ด้อยลงไปกว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญและบริษัทสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างดี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตค่อนข้างจำกัดในระยะสั้น แต่มีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้หากบริษัทมีโครงสร้างการเงินที่แข็งแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือโรงไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาดการณ์ หรือบริษัทยังคงลงทุนโดยการก่อภาระหนี้ในระดับสูง หรือบริษัทไม่สามารถเปิดดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ได้ตามแผน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550

บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ