ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในงานวิศวกรรมก่อสร้างฐานรากลึก (Deep Foundation Engineering) ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากผลงานและความสามารถที่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทที่มีภาระหนี้อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากขอบเขตธุรกิจของบริษัทที่มีขนาดเล็กและเน้นเฉพาะงานเสาเข็ม ประกอบกับความอ่อนไหวของงานที่มีต่อวงจรธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งจะกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทได้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในงานก่อสร้างฐานราก
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างฐานรากของประเทศไทย โดยบริษัทมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูง อีกทั้งยังมีทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถรับงานโครงการขนาดใหญ่เช่นงานก่อสร้างฐานรากที่มีขอบเขตกว้างขวางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเสาเข็มสำหรับอาคารสูงของภาคเอกชนและโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาเพียงไม่กี่รายที่สามารถก่อสร้างกำแพงป้องกันดิน (Diaphragm Wall) หรือ D-wall ซึ่งเป็นงานฐานรากที่สำคัญประเภทหนึ่งได้อีกด้วย
ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทสั่งสมมาจากประสบการณ์ในการทำงานที่สำเร็จผลมาเป็นเวลายาวนานและความยืดหยุ่นของสถานะทางการเงิน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยให้บริษัทได้รับงานอย่างต่อเนื่องและชนะการประมูลงานใหม่อยู่เสมอ ประสบการณ์และทักษะช่วยให้บริษัทอยู่ในสถานะที่ดีกว่าผู้รับเหมาก่อสร้างงานฐานรากรายอื่น ๆ ในการดำเนินงานโครงการที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมากกว่า บริษัทมีภาระหนี้ไม่มากซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นทางการเงินที่สูงกว่า ส่งผลให้ลูกค้าของบริษัทมีความมั่นใจว่าโครงการจะไม่ชะงักจากปัญหาทางด้านการเงินของผู้รับเหมาก่อสร้าง
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานรากนั้นมีผู้ประกอบการอยู่เป็นจำนวนมาก ทว่าบริษัทถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดเมื่อพิจารณาจากรายได้และมูลค่าสินทรัพย์ โดยบริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ของทั้งตลาดโดยเฉลี่ยที่ระดับ 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โดยรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 เท่ากับ 1,933 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 45.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 22.4% เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ระดับ 17% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลเนื่องมาจากการมีอัตราส่วนกำไรที่สูงในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการ One Bangkok
จากมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ของบริษัท ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2,200-2,700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 19% โดยเฉลี่ย และเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี
จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 600-700 ล้านบาทในปี 2561 เพื่อซื้อเครื่องจักรชุดใหม่สำหรับใช้ดำเนินโครงการในปัจจุบัน หลังจากนั้นเงินลงทุนจะลดลงเหลือประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
ขนาดธุรกิจค่อนข้างเล็กและเน้นงานเฉพาะทาง
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในส่วนของเสาเข็ม แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าบริษัทมีสถานะทางธุรกิจในระดับปานกลาง โดยอันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดค่อนข้างสูงจากการที่บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดเล็กและมีขอบเขตงานที่ค่อนข้างแคบ ทั้งนี้ งานฐานรากเป็นเพียงงานส่วนเล็ก ๆ ในโครงการก่อสร้างซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3-6 เดือนในช่วงเริ่มโครงการ แต่เมื่อพิจารณาในด้านบวกแล้ว บริษัทสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในส่วนของความล่าช้าของโครงการหรือต้นทุนที่เกินงบประมาณได้ด้วยเช่นกัน
มูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบซึ่งส่วนใหญ่มีระยะเวลาเพียง 3-6 เดือนนั้นก็มีผลกระทบต่อรายได้ในอนาคตของบริษัท โดยมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบที่มีอายุสั้นจะกดดันให้บริษัทจำเป็นต้องหางานใหม่และเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในช่วงที่งานรับเหมาก่อสร้างชะลอตัว บริษัทจึงมีความพยายามที่จะเติบโตโดยการขยายงานไปในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากงานในต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญในระยะใกล้
?
ทริสเรทติ้งยังคงมองแนวโน้มในเชิงบวกสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องมาจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจำนวนมากที่กำลังจะเกิดขึ้นรวมถึงโครงการก่อสร้างอาคารสูงขนาดใหญ่ของภาคเอกชนด้วยเช่นกัน ในการนี้ บริษัทมีความพร้อมในการรับงานก่อสร้างฐานรากให้แก่ทั้ง 2 ภาคส่วน เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทชนะการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่จำนวนหลายโครงการซึ่งรวมถึงโครงการ One Bangkok ด้วย ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2561 บริษัทมีมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบอยู่ที่ 2,876 ล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะรักษาฐานรายได้ของบริษัทในปี 2561 และปี 2562 ได้
มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างโดยผลการดำเนินงานของบริษัทจะขึ้นอยู่กับสภาวะวงจรของอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทไม่สามารถสร้างงานของตนเองได้ อีกทั้งความต้องการงานเสาเข็มขนาดใหญ่และงานกำแพงป้องกันดินก็ขึ้นอยู่กับงานก่อสร้างอาคารใหม่ ๆ ด้วย
การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงความเสี่ยงอื่น ๆ จากอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างด้วย อาทิ ความเสี่ยงจากต้นทุนคงที่ในสัญญา การแข่งขันประมูลงาน ความพอเพียงของแรงงาน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะลดทอนจุดแข็งของสถานะเครดิตของบริษัทลง
ธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งการผูกติดอยู่กับอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างก็จะสร้างความอ่อนไหวตามวงจรอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างให้แก่บริษัทเป็นอย่างมาก ผลที่ตามมาก็คือ สถานะทางการเงินของบริษัทจะมีความผันผวนและรายได้อาจจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
ความยืดหยุ่นทางการเงินที่แข็งแกร่ง
สถานะทางการเงินของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่งจากความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจและภาระหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ ภายหลังจากที่บริษัทขาดทุนจากโครงการรับเหมาก่อสร้างงานด้านโยธาในปี 2553-2554 บริษัทจึงกลับมาเน้นงานรับเหมาก่อสร้างเฉพาะในส่วนของงานเสาเข็มขนาดใหญ่และงานก่อสร้างกำแพงป้องกันดินเป็นหลัก รายได้ของบริษัทจึงเริ่มดีขึ้น โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทเกือบทั้งหมดเติบโตจากงานรับเหมาก่อสร้างเสาเข็มขนาดใหญ่และงานกำแพงป้องกันดิน
ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงิน กล่าวคือ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.61% ณ เดือนกันยายน 2561 โดยเพิ่มจาก 9.88% ณ สิ้นปี 2560 จากการใช้เงินลงทุนซื้อเครื่องจักรจำนวนมาก ถึงแม้ว่าภาระหนี้จะเพิ่มขึ้น แต่อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำ ภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ระดับต่ำเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตเนื่องจากบริษัทจะมีเงินสำรองบางส่วนที่ช่วยบรรเทาความรุนแรงในช่วงเวลาที่ขาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานโครงการที่ล้มเหลวหรือภาวะอุตสาหกรรมที่ซบเซาเป็นเวลานานก็อาจส่งผลให้บริษัทใช้เวลาในการฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำของวงจรธุรกิจที่ยาวนานยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนจำนวนมากในปี 2561 แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับประมาณ 20%-23% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าต่อไปได้ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในช่วง 12-19 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงโดยจะอยู่ในระดับต่ำสุดที่ประมาณ 70%
สภาพคล่องที่เพียงพอ
บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2561 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 223 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 24 ล้านบาทและเงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 199 ล้านบาท ในขณะที่แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 326 ล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งบริษัทน่าจะมีกระแสเงินสดที่เพียงพอต่อการชำระหนี้ในระยะใกล้นี้
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจงานก่อสร้างฐานรากเอาไว้ได้และจะสามารถประมูลงานใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราส่วนกำไรโดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 19% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตยังไม่มีแนวโน้มที่จะมีการปรับเพิ่มในอนาคตอันใกล้เนื่องจากขนาดธุรกิจของบริษัทที่ค่อนข้างเล็กและขอบเขตการดำเนินงานที่เน้นเฉพาะงานเสาเข็ม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตจะมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากกระแสเงินสดของบริษัทปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตก็อาจปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเกิดจากความล่าช้าในงานก่อสร้าง ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโครงการล่าช้า หรือความล้มเหลวในการขยายงานรับเหมาก่อสร้างไปในต่างประเทศหรือการขยายสู่งานวิศวกรรมก่อสร้างด้านอื่น ๆ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html