ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด ที่ระดับ “BBB” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง มีระดับหนี้สินที่ต่ำ และได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ผันผวน รวมถึงมีความเสี่ยงในระดับสูงจากการกระจุกตัวของลูกค้า และความไม่สอดคล้องกันของสินทรัพย์และหนี้สิน นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงก็จะส่งผลทำให้รายได้ดอกเบี้ยและอัตรากำไรของบริษัทลดลงอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ฐานเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าฐานเงินทุนของบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในระยะ 3 ปีข้างหน้า ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ต่ำซึ่งช่วยทำให้ฐานทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2,078 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 จาก 1,858 ล้านบาทในปี 2560
หนี้สินอยู่ในระดับต่ำ
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ ในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2561 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 3.2 เท่าเมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า
มีสภาพคล่องเพียงพอจากการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นใหญ่
บริษัทได้รับการสนับสนุนทางการเงินที่เพียงพอจากผู้ถือหุ้นใหญ่หลายราย โดย ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีวงเงินกู้พร้อมเบิกจ่ายจำนวน 1,280 ล้านบาทจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ 1,650 ล้านบาทจากธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้พึ่งพาแหล่งเงินทุนจากธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงเทพเพียง 1.2% ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัท อนึ่ง บริษัทมีการกระจายแหล่งกู้ยืมไปยังสถาบันการเงินอื่น ๆ รวมทั้งระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ ตัวอย่างเช่น บริษัทได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปี 2553 ออกหุ้นกู้ในปี 2554 และออก Shogun Bonds 7 ครั้งมูลค่ารวม 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระหว่างปี 2555-2561 เป็นต้น ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่ต่าง ๆ รวมทั้งแหล่งเงินกู้ยืมที่หลากหลายจะช่วยให้บริษัทยังคงสามารถดำเนินกิจการและชำระคืนหนี้ต่าง ๆ ได้ตามกำหนด
การแข่งขันจำกัดความสามารถในการทำกำไร
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่สูงซึ่งเป็นผลมาจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญทำให้กำไรของบริษัทลดลงอย่างมากในระหว่างปี 2560-2561 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 270 ล้านบาทในปี 2561 (ยังไม่ผ่านการตรวจสอบบัญชี) ทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 3.2% ในปี 2561 จาก 0.5% ในปี 2560 ถึงกระนั้น
ทริสเรทติ้งก็ยังเชื่อว่าการแข่งขันที่รุนแรงจะส่งผลทำให้บริษัทไม่อาจปรับเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้มากไปกว่าเดิมได้ ในการนี้ บริษัทอาจจะต้องปรับลดอัตราผลตอบแทนลงเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
คุณภาพสินทรัพย์ยังคงผันผวน
ทริสเรทติ้งเห็นว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการกระจุกตัวของลูกค้าซึ่งอยู่ในระดับที่สูง โดยลูกค้ารายใหญ่ 10 รายแรกของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนถึง 31% ของพอร์ตสินเชื่อของบริษัท ณ เดือนกันยายน 2561 ซึ่งเมื่อลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งประสบกับปัญหาทางการเงินในปี 2559 จึงทำให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 8.7% ณ สิ้นปี 2559 ภายหลังจากการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกค้ารายใหญ่ดังกล่าว อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทก็ลดลงเหลือ 4.3% ณ สิ้นปี 2560 แต่หลังจากนั้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.6% ณ เดือนกันยายน 2561 เนื่องจากสินเชื่อของลูกค้ารายเดิมกลับไปเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อีก บริษัทได้ตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายนี้ไว้เต็มจำนวนในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบอีกหากสินเชื่อของลูกค้ารายนี้กลายเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ผันผวนต่อไปในอนาคตหากปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของลูกค้ารายใหญ่ดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข ในอดีตที่ผ่านมาอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% มาโดยตลอดในช่วงปี 2556 จนถึงปี 2558 หากไม่รวมผลกระทบจากลูกค้าดังกล่าวแล้ว คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของบริษัทยังถือว่าดี โดย ณ เดือนกันยายน 2561 อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 1.5%
ความไม่สอดคล้องกันของสินทรัพย์และหนี้สิน
บริษัทมีโครงสร้างของสินทรัพย์และหนี้สินที่ไม่สอดคล้องกันในแง่ของอายุเฉลี่ย โดยบริษัทมีอายุเฉลี่ยของสินเชื่ออยู่ที่ 42 ถึง 48 เดือน ในขณะที่บริษัทพึ่งพิงการกู้ยืมระยะสั้นเพื่อระดมทุน อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความไม่สอดคล้องกันของอายุเฉลี่ยของสินทรัพย์และหนี้สินดังกล่าวไม่น่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญเนื่องจากหนี้ระยะสั้นสามารถต่ออายุออกไปได้ อีกทั้งบริษัทยังมีวงเงินที่เพียงพอจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลายรายซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาช่องว่างของสภาพคล่องในระยะสั้นนี้ได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• ทริสเรทติ้งคาดว่าสินเชื่อใหม่รวมทั้งสัญญาเช่าซื้อและเช่าการเงินของบริษัทจะเติบโต 5% ต่อปี ในขณะที่สัญญาเช่าดำเนินงานจะเติบโตคงที่ในระหว่างปี 2562-2564
• ค่าใช้จ่ายทางด้านเครดิตหรือสำรองหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.3% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2562-2564
• อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของดอกเบี้ยรับจะอยู่ที่ระดับ 6.0% ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินจะอยู่ระหว่าง 3.2% ถึง 3.8%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ไปด้วย การพิจารณาแนวโน้มอันดับเครดิตยังรวมไปถึงความคาดหมายที่บริษัทจะยังคงฐานทุนที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอย และบริษัทจะมีผลประกอบการทางการเงินตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงได้หากบริษัทมีการเสื่อมถอยอย่างมีนัยสำคัญของฐานทุน ตลอดจนโครงสร้างทางการเงิน หรือสถานะความเสี่ยง การลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากหรือคุณภาพสินทรัพย์ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางการตลาดและ/หรือผลประกอบการทางการเงินปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งอาจปรับเพิ่มอันดับเครดิตหากบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทมีสถานะเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกรุงเทพภายใต้การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งอันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจากการสนับสนุนที่เพิ่มเติมจากกลุ่มธนาคารกรุงเทพ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร, 7 พฤษภาคม 2561
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html