ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) มาอยู่ที่ระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “A” โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลประกอบการที่อ่อนแอลงของบริษัท โดยมีปัจจัยเร่งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของการใช้สื่อดิจิทัลส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการรับสื่อของผู้ชมและเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายด้านการโฆษณาด้วย บริษัทถือเป็นผู้นำในธุรกิจมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมสื่อที่มีภาวะแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนไปรวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนจะยังคงกดดันผลการดำเนินงานของบริษัทต่อไป ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทไม่น่าจะฟื้นตัวจนถึงระดับที่ทำให้บริษัทยังคงมีอันดับเครดิตอยู่ที่ระดับเดิมคือ “A” ได้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลขาดทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นกำไร
ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอีกในปี 2561 แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากความพยายามในการลดต้นทุนของบริษัท
ในปี 2561 รายได้ของบริษัทลดลง 6% มาอยู่ที่ 10,470 ล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ลดลงมา 15% โดยอยู่ที่จำนวน 947 ล้านบาท (ในการวิเคราะห์ของทริสเรทติ้ง ค่าตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการทีวี จะคิดเป็นต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทตามลักษณะของธุรกิจ) บริษัทมีผลขาดทุน 330 ล้านบาทในปี 2561 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่เกิดขึ้นครั้งเดียวซึ่งมีจำนวน 275 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทจะยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายด้านการดำเนินงานที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการที่สื่อดิจิทัลกำลังเข้ามาแทนที่สื่อดั้งเดิมและงบใช้จ่ายด้านโฆษณาที่คาดว่าจะยังคงอ่อนตัว ในปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะใกล้เคียงกับปีก่อนหรือลดลงเล็กน้อย ในการประมาณการด้านรายได้นั้น ทริสเรทติ้งได้มีการพิจารณาถึงโอกาสที่บริษัทจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากช่องทางดิจิทัลและการขายลิขสิทธิ์รายการไปในต่างประเทศซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงและจะช่วยชดเชยรายได้บางส่วนที่หายไปจากภาวะงบใช้จ่ายโฆษณาทางทีวีที่จะยังอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากความพยายามในการลดต้นทุน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 11%-12% ในช่วงปี 2562-2564 เทียบกับ 8.9% ในปี 2561 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ 1,100-1,300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งแม้ว่าเราจะคาดการณ์ผลกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้บริษัทมีอันดับเครดิตคงอยู่ที่ระดับ “A” ได้
ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
พฤติกรรมในการรับชมสื่อของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง การรับชมรายการผ่านสื่อออนไลน์ที่อาศัยการส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ตทั้งในรูปแบบ Over-the-Top (OTT) และแบบ Direct-to-Consumer (DTC) เช่น Netflix ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการชมสื่อบันเทิงเพิ่มขึ้นมาก ผู้บริโภคนิยมการรับชมรายการผ่านช่องทาง OTT และ DTC มากขึ้นเมื่อเทียบกับการรับชมผ่านการออกอากาศทางทีวีแบบเดิม แนวโน้มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ผู้ชมรายการกระจายตัวมากยิ่งขึ้นซึ่งทำให้ผู้โฆษณาสินค้าต้องบริหารจัดการงบโฆษณาให้เหมาะสมยิ่งขึ้นตามไปด้วย
แม้ว่าบริษัทได้ปรับตัวและแพร่ภาพรายการผ่านทางช่องทางการรับชมออนไลน์ต่าง ๆ แต่รายได้ที่ได้รับจากช่องทางเหล่านี้ก็น้อยกว่ารายได้ที่ลดลงจากธุรกิจทีวีแบบเดิมของบริษัทในเวลาที่งบใช้จ่ายด้านโฆษณาอ่อนตัวลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะยังคงกดดันผลการดำเนินงานของบริษัทต่อไป
การแข่งขันที่สูงเพื่อแย่งชิงงบโฆษณา
ผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับรายได้จากการโฆษณาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนเมื่อผนวกกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลให้ผู้โฆษณาจะยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย
สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยคาดว่าค่าใช้จ่ายโฆษณารวมทุกสื่อจะเติบโต 4% ในปี 2562 เป็น 1.21 แสนล้านบาท โดยที่ทีวีจะยังคงเป็นช่องทางหลักในการโฆษณาโดยมีสัดส่วน 55%-60% ของงบใช้จ่ายโฆษณาโดยรวม
ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าทีวีจะยังคงเป็นช่องทางหลักในการโฆษณาในระยะเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่างบใช้จ่ายโฆษณาผ่านทีวีจะเติบโตได้ช้าหรือไม่เติบโต ทริสเรทติ้งมองว่าผู้โฆษณาจะยังคงระมัดระวังในการใช้จ่ายเพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุดจากเงินที่ลงทุนไป และงบใช้จ่ายโฆษณาผ่านทีวีจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้นจากพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนแปลง
การเกิดขึ้นของระบบทีวีดิจิทัลในประเทศไทยเมื่อปี 2557 ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจทีวี ในขณะที่ช่องทีวีเพิ่มขึ้นมาก แต่งบใช้จ่ายโฆษณาผ่านทีวีกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้น การแข่งขันในธุรกิจจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการต้องดึงดูดและสร้างฐานผู้ชมเพื่อที่จะให้ได้เม็ดเงินจากการโฆษณา
ฐานะการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้มีความแข็งแรง
สถานะทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่ง โครงสร้างเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับดีแม้ความสามรถในการทำกำไรและรายได้ของบริษัทจะอ่อนตัวลงก็ตาม สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงในปี 2562-2564 เนื่องจากบริษัทไม่มีแผนลงทุนขนาดใหญ่ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนประมาณ 530-550 ล้านบาทในปี 2562 และรวมประมาณ 170 ล้านบาทในระหว่างปี 2563-2564 บริษัทจะเริ่มกลับมาชำระค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลรวม 546 ล้านบาทในปี 2564 หลังจากที่มีการพักชำระค่าใบอนุญาตระหว่างปี 2561-2563 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลจากรัฐบาล
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 32%-34% ในปี 2562 และจะทยอยลดลงเหลือประมาณ 20% ในปี 2564 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วน่าจะอยู่ที่ 2.5-3.0 เท่าในปี 2562 และจะทยอยลดลงเหลือ 1-2 เท่าในช่วงปี 2563-2564 ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 39.1% และมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 4.2 เท่า
มีสภาพคล่องสูง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงสถานะสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่ดีได้ต่อไปในระยะ 12 เดือนข้างหน้าโดยพิจารณาจากแหล่งที่มาและแผนการใช้เงินทุนของบริษัท ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ 1,100-1,200 ล้านบาทต่อปีและจะมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2561 อีกจำนวน 2,681 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระทางการเงินรวม 470 ล้านบาทและมีแผนลงทุนประมาณ 530-550 ล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหรือลดลงเล็กน้อย
• อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 11%-12%
• บริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 530-550 ล้านบาทในปี 2562 และรวมประมาณ 170 ล้านบาทในปี 2563-2564
• บริษัทจะเริ่มกลับมาชำระค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลอีกครั้งคิดเป็นจำนวนรวม 546 ล้านบาทในปี 2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะผู้นำทางธุรกิจและรักษาฐานะการเงินที่แข็งแกร่งได้ต่อไป การประเมินแนวโน้มอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงโอกาสที่บริษัทจะเพิ่มรายได้จากช่องทางออนไลน์และการขายลิขสิทธิ์รายการไปในต่างประเทศซึ่งจะช่วยชดเชยรายได้บางส่วนที่หายไปจากงบใช้จ่ายโฆษณาทางทีวี
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทจะมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่สถานะทางด้านการแข่งขันของบริษัทกลับมามีความแข็งแกร่งและผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ปัจจัยกดดันต่อการปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องของงบโฆษณาหรือจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจและรูปแบบสื่ออื่น ๆ ที่สามารถทดแทนกันได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html