ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A” จากเดิมที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการเพิ่มสัดส่วนกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนการขยายสาขาร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด และการเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าจากร้านค้าปลีกแบบเก่ามาเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากการที่บริษัทมีวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาว รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และฐานลูกค้าหลักที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงราคาพืชผลทางการเกษตร
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน
บริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำของไทยที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาทั้งหมด 61 แห่งกระจายตัวทั่วประเทศ และ 1 สาขาในประเทศกัมพูชา โดยทุกสาขาตั้งอยู่ในเขตต่างจังหวัดทั้งหมด ประมาณ 40% ของจำนวนสาขาทั้งหมดของบริษัทตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนสาขาที่เหลืออยู่ในภาคอื่น ๆ ของประเทศยกเว้น กรุงเทพฯ
คงรูปแบบร้านค้าปลีกขนาดใหญ่
บริษัทมีกลยุทธ์หลักคือจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่หลากหลายแก่ลูกค้ารวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และสินค้าตกแต่งบ้าน โดยสาขาของบริษัทมีการจัดรูปแบบร้านค้าในแนวคลังสินค้าขนาดใหญ่ด้วยพื้นที่ขายเฉลี่ยต่อสาขาขนาด 20,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ร้านค้าของบริษัทจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับบ้านมากกว่า 100,000 รายการ ซึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าแล้ว การที่บริษัทมีรูปแบบร้านที่มีขนาดใหญ่ยังทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดและการมีต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงด้วย
การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่
จากผลของการขยายตัวของเมือง ผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านจึงมีการขยายตัวแทนที่ร้านค้าปลีกสินค้าแบบเก่า จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าในปี 2561 ธุรกิจภาคค้าส่งค้าปลีกในประเทศไทยเติบโต 7.3% ในขณะที่รายได้รวมของบริษัทเติบโตขึ้น 21.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าที่มีอย่างต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนแผนการเปิดสาขาใหม่ปีละ 7 แห่งของบริษัท
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจได้ในช่วงปี 2562-2564 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 20.6%-20.9% ในปี 2559-2561 เมื่อเทียบกับ 15.0%-16.7% ในระหว่างปี 2556-2558 สาเหตุมาจากการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ของบริษัทและราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทและสินค้านำเข้าซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นในท้องตลาดมีสัดส่วนคิดเป็น 18% ของยอดจำหน่ายรวมของบริษัทในปี 2561 เทียบกับ 12%-14% ในระหว่างปี 2558-2560 ในขณะที่ยอดจำหน่ายเหล็กยังคงเป็นสัดส่วนมากที่สุดในยอดจำหน่ายรวมของบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วน 20%
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (รวมส่วนลดการค้าที่ได้รับจากเจ้าหนี้การค้า) ต่อยอดขายของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 13.5%-14.5% ในปี 2559-2561 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 9%-10% ในอนาคตบริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของรายได้จากสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองต่อรายได้รวมให้เป็น 20% ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 13.0%-14.0% ในช่วงปี 2562-2564
ระดับการก่อหนี้จะปรับตัวลดลง ในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้จะปรับตัวดีขึ้น
บริษัทวางแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 7 แห่งในปี 2562-2564 เทียบกับการเปิดสาขาใหม่เพิ่มปีละ 7-9 สาขาต่อปีในปี 2559-2561 ดังนั้น เงินลงทุนของบริษัทจะปรับตัวลดลงเป็น 1,800 ล้านบาทต่อปี จาก 2,200-2,800 ล้านบาทต่อปี ในระหว่างปี 2559-2561 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 40%-45% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งลดลงจาก 46.4% ณ สิ้นปี 2561 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทก็คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 14-17 เท่าในช่วงปี 2562-2564
?
แม้ว่าวงจรเงินสดจะค่อนข้างยาวแต่บริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่จัดการได้
เพื่อที่จะจัดการกับรูปแบบร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ให้เหมาะสมสำหรับผู้รับเหมาและเจ้าของบ้าน วงจรเงินสดของบริษัทจึงค่อนข้างยาวอยู่ที่ประมาณ 200 วันเนื่องจากบริษัทมีระดับสินค้าคงคลังที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายหนึ่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งรายงานว่ามีวงจรเงินสดติดลบ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังคงจัดการได้ บริษัทมีอัตราส่วนทุนหมุนเวียนที่ดีที่ระดับประมาณ 1 เท่าและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐานในช่วงปี 2562-2564
• คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตประมาณ 6%-9% และยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจะเติบโตที่ประมาณ 0%-2% ต่อปี
• อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 13%-14% เนื่องจากราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลง
• ค่าใช้จ่ายส่วนทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ต่อไป พร้อมทั้งคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมต้นทุนและรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในขณะที่มีการขยายสาขา
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยการลดวงจรเงินสดและเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรและรักษาเงินสดส่วนเกินที่รองรับการชำระหนี้ให้อยู่ระดับที่ดี ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือระดับหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html