ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BB+” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BB+” ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดคอนโดมิเนียม ยอดขายรอการรับรู้รายได้ที่มากขึ้น และสัดส่วนรายได้ค่าบริหารโครงการและส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่อยู่ในระดับสูงจากการขยายธุรกิจเชิงรุก ตลอดจนผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อคอนโดมิเนียม รวมถึงความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและหนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูงที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในตลาดคอนโดมิเนียม
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งในตลาดคอนโดมิเนียมเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายจากแต่ละโครงการและมูลค่าโอนที่เพิ่มขึ้น ยอดขายคอนโดมิเนียมเท่ากับ 25,327 ล้านบาทในปี 2560 เพิ่มขึ้นจาก 18,513 ล้านบาทในปี 2559 และ 17,059 ล้านบาทในปี 2558 ทั้งนี้ ยอดขายคอนโดมิเนียมลดลง 26% เหลือ 18,666 ล้านบาทในปี 2561 เนื่องจากบริษัทเปิดโครงการลดลงจากปี 2560 อย่างไรก็ตาม ยอดโอนคอนโดมิเนียมปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 30,914 ล้านบาทในปี 2561 จาก 13,441 ล้านบาทในปี 2560 และ 13,602 ล้านบาทในปี 2559
ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมระหว่างการพัฒนา 34 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุน 24 โครงการ) และโครงการบ้านจัดสรรระหว่างการพัฒนา 17 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเหลือขาย 51,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมคิดเป็น 80% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นบ้านจัดสรร บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 41,000 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยยอดขายรอการรับรู้รายได้ในโครงการของบริษัทเองมูลค่า 4,000 ล้านบาท และของโครงการร่วมทุนมูลค่า 37,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ในโครงการของบริษัทให้แก่ลูกค้ามูลค่า 3,100 ล้านบาทในปี 2562 และ 900 ล้านบาทในปี 2564 สำหรับยอดขายรอการรับรู้รายได้ในโครงการร่วมทุนจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงปี 2562-2564 ยอดขายรอการรับรู้รายได้จำนวนมากจะช่วยประกันรายได้ในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง
สัดส่วนรายได้ค่าบริหารโครงการและส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 4,134 ล้านบาทในปี 2561 จาก 2,200-2,700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2557-2560 การเติบโตของ EBITDA เป็นผลมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนและรายได้ค่าบริหารโครงการที่มากขึ้น
ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุน 24 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขาย 32,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุนทั้งหมดดังกล่าวมียอดขาย 69% และยอดโอน 32% ทั้งนี้ ยอดขายรอการรับรู้รายได้ของโครงการร่วมทุนมีมูลค่า 37,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 90% ของยอดขายรอการรับรู้รายได้ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งทำให้บริษัทจะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนไปอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากภายใต้การร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนโครงการร่วมทุนที่มากขึ้นจะยิ่งทำให้บริษัทมีรายได้ค่าบริหารโครงการที่มากขึ้น
ในสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 และคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 8,000-12,000 ล้านบาทต่อปีในขณะที่รายได้ค่าบริหารโครงการจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000-2,600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโครงการร่วมทุนคาดว่าจะอยู่ที่ 2,000-2,400 ล้านบาทต่อปี และจะเป็นแหล่งรายได้หลักให้กับบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าด้วย จากการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบางโครงการ ทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรลดลงต่ำกว่า 10% ในช่วงปี 2560-2561 จาก 11% ในปี 2559 และ 14% ในปี 2558 ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการรายใหญ่และต้นทุนค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรเอาไว้ได้ที่ 7%-8%
?
เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นมาตรการใหม่อาจทำให้ยอดขายชะลอตัว
ทริสเรทติ้งคาดว่าการนำเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นมาตรการใหม่ของ ธปท. ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2562 นั้นจะส่งผลกระทบต่อยอดขายคอนโดมิเนียมในระยะสั้น ภายใต้เกณฑ์ใหม่นี้ ผู้ซื้อบ้านสามารถกู้เงินได้ไม่เกิน 70%-80% ของมูลค่าหลักประกันสำหรับสัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และหลังถัด ๆ ไป ซึ่งลดลงจากเดิมที่สามารถกู้ได้ถึง 90%-100% ของมูลค่าหลักประกัน ดังนั้น บริษัทอาจจะต้องยืดการผ่อนดาวน์ให้แก่ผู้ซื้อบ้านบางราย ทั้งนี้ ความล่าช้าในการส่งมอบก็จะกระทบต่อการรับรู้รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกันที่ลดลงสำหรับสัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และหลังถัด ๆ ไปนั้นจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการในระยะยาว โดยเกณฑ์ใหม่ที่นำมาใช้นี้จะช่วยลดการเก็งกำไรและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรอดูผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว โดยบริษัทอาจเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ออกไปหากเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญและทำให้มีสินค้าคงเหลือสะสมเพิ่มสูงขึ้น
ความเสี่ยงจากความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย
แม้ว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมเป็นอย่างมากแต่ก็มีความผันผวนมากกว่าภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศประกอบกับภาวะหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทั่วประเทศส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดสินค้าราคาปานกลางถึงต่ำ การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศทำให้บริษัทต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยยอดขายให้ลูกค้าต่างชาติของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จาก 3,100 ล้านบาทในปี 2559 เป็น 10,000 ล้านบาทในปี 2561 หรือจาก 12% ของยอดขายรวมเบื้องต้นในปี 2559 เป็น 32% ในปี 2561 ประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายต่างชาติเป็นกลุ่มลูกค้าชาวจีน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนที่เติบโตช้าลงและความกังวลเรื่องการกีดกันทางการค้าโลกอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติได้ ดังนั้น บริษัทจึงควรบริหารจัดการการเปิดโครงการใหม่อย่างระมัดระวังเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม
ภาระหนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วควรอยู่ที่ประมาณ 2 เท่า
ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้ของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยในสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วอาจเพิ่มขึ้นเป็น 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มเป็น 2 เท่าในช่วงปี 2562-2564 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะเปิดโครงการใหม่มูลค่า 43,772 ล้านบาทในปี 2562 และประมาณ 34,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 โดยเกือบ 90% ของโครงการใหม่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุน ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทต้องใช้เงินลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนอีก 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า และยังคาดว่าบริษัทจะเปิดโครงการบ้านจัดสรรใหม่มูลค่า 1,000-2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 นอกจากนี้ งบประมาณในการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการของบริษัทเองคาดว่าจะอยู่ที่ 900-1,300 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างลงทุนในเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ 5 แห่งภายใต้การร่วมทุนในสัดส่วน 51:49 กับกลุ่ม Mitsui Fudosan ค่าก่อสร้างของโครงการทั้งหมดอยู่ที่ 500-2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 แม้ว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรจะช่วยบรรเทาความต้องการเงินทุนได้ส่วนหนึ่ง แต่บริษัทก็ยังต้องการแหล่งเงินทุนจำนวนมากเพื่อการขยายธุรกิจให้เติบโตตามแผน อย่างไร
ก็ตาม คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ที่ประมาณ 2 เท่าเอาไว้ได้เพื่อคงอันดับเครดิตไว้ ณ ปัจจุบัน
สภาพคล่องเพียงพอ
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงมีเพียงพอ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 5,183 ล้านบาทและมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกประมาณ 12,000 ล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 7,585 ล้านบาทซึ่งหลัก ๆ ประกอบด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นและเงินกู้ยืมระยะสั้น 5,672 ล้านบาท หุ้นกู้ 1,498 ล้านบาท และเงินกู้โครงการ 412 ล้านบาท
ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นและเงินกู้ยืมระยะสั้นส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ชั่วคราวเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินซึ่งจะถูกทดแทนด้วยเงินกู้โครงการในภายหลัง นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และเงินกู้โครงการจะจ่ายชำระคืนด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการ
บริษัทจำเป็นต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้สอดคล้องตามเงื่อนไขทางการเงินของวงเงินกู้ยืมจากธนาคารและหุ้นกู้ โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (ตามงบการเงินรวมของบริษัท) ไม่ให้เกินกว่า 2 เท่าตามเงื่อนไขของวงเงินกู้ยืมจากธนาคาร ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 1.02 เท่า และสำหรับหุ้นกู้นั้น บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไม่ให้เกินกว่า 2.5 เท่าตามเงื่อนไข ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2561 อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 0.74 เท่า ดังนั้น บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินอยู่ ทริสเรทติ้งหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
?
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งมีดังนี้
• บริษัทจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเองและโครงการร่วมทุนรวมถึงโครงการบ้านจัดสรรซึ่งมีมูลค่า 43,772 ล้านบาทในปี 2562 และประมาณ 34,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 โดยเกือบ 90% ของโครงการทั้งหมดเป็นโครงการภายใต้การร่วมทุน
• งบประมาณในการซื้อที่ดินสำหรับโครงการของบริษัทเองอยู่ที่ 900-1,300 ล้านบาทต่อปี
• บริษัทต้องใช้เงินลงทุนในโครงการร่วมทุน (ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์) จำนวน 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
• EBITDA คาดว่าจะอยู่ที่ 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรคาดว่าจะอยู่ที่ 7%-8%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ทริสเรทติ้งยังคาดว่า EBITDA ของบริษัทในช่วงปี 2562-2564 จะอยู่ที่ 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ตามแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกทำให้คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม บริษัทควรรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ที่ประมาณ 2 เท่า และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรให้อยู่ที่ 7%-8%
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่คาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วลดลงต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 12 กันยายน 2561
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html