ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น” ที่ “BBB+” หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 22, 2019 14:10 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB” ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นนั้นสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทที่อยู่สูงกว่าระดับ 20% ตามเกณฑ์การจัดอันดับของทริสเรทติ้ง

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของบริษัท มูลค่างานในมือจำนวนมาก และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากความเสี่ยงจากการกระจุกตัวทางธุรกิจ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของระดับการก่อหนี้ของบริษัท และความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น

ทริสเรทติ้งคาดว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจะยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทจะเติบโตมากขึ้นจากโครงการขนส่งมวลชนที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากประวัติผลงานของบริษัทที่ดียิ่งขึ้นในการประมูลงานและส่งมอบโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ

ความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของบริษัทเกิดจากความพยายามในการพัฒนาและขยายขีดความสามารถ โดยในช่วงแรกบริษัทได้ร่วมมือกับผู้รับเหมาชั้นนำจากประเทศจีนในการประมูลงานก่อสร้างโครงการที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการประมูลงาน อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีการก่อสร้างอีกด้วย

บริษัทได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังการรับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ - ตลิ่งชัน) ที่ช่วยกรุยทางให้บริษัทได้รับงานก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น ซึ่งต่อมาบริษัทก็ประสบความสำเร็จในการประมูลงานก่อสร้างโครงการขนส่งระบบรางขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและรายได้ของบริษัทก็เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อพิจารณาจากรายได้และขนาดของสินทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทสามารถประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ได้โดยลำพัง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี) ถือเป็นโครงการรถไฟฟ้าโครงการแรกที่บริษัทยื่นประมูลโดยไม่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรรายใด

มีการกระจุกตัวทางธุรกิจในระดับสูง

อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากการกระจุกตัวทางธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง โดยงานในมือของบริษัทประกอบไปด้วยโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการ โครงการขนาดใหญ่ที่สุด 3 โครงการมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 95% ของมูลค่างานในมือ ณ เดือนธันวาคม 2561 ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาดในการส่งมอบโครงการเพียง 1 โครงการหรือมากกว่า หรือหากเกิดเหตุขัดข้องที่มีนัยสำคัญในโครงการใดโครงการหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัทได้

นอกจากนั้น บริษัทน่าจะยังคงเน้นงานก่อสร้างภาครัฐเป็นหลักต่อไป แม้โครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐจะมีแนวโน้มที่ดีในช่วงหลายปีข้างหน้า แต่กรอบเวลาในการดำเนินโครงการยังมีความไม่แน่นอน ความล่าช้าในการประมูลงาน ตลอดจนความล่าช้าในการแต่งตั้งผู้รับเหมาในสัญญาต่าง ๆ หรือความล่าช้าของโครงการอาจส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทได้

อุตสาหกรรมมีความเป็นวงจรขึ้นลงและแข่งขันสูง

บริษัทน่าจะยังต้องเผชิญกับวงจรที่มีความขึ้นลงและการแข่งขันที่สูงของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างเช่นเดียวกับผู้รับเหมารายอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างมีโครงการของลูกค้าทั้งที่อยู่ในภาคเอกชนและภาครัฐเป็นปัจจัยขับเคลื่อน ที่ผ่านมา กิจกรรมการก่อสร้างของลูกค้าภาคเอกชนลดน้อยลง ทำให้ผู้รับเหมาต่างมุ่งไปที่โครงการของลูกค้าภาครัฐ ส่งผลให้การแข่งขันในการประมูลงานก่อสร้างโครงการภาครัฐเข้มข้นขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อรายได้และกำไรของผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม

กระแสรายได้ได้รับแรงหนุนจากมูลค่างานในมือจำนวนมาก

งานในมือของบริษัทจำนวนมากที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2561 จะช่วยป้องกันการลดลงอย่างมากของรายได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ในช่วง 10,000-17,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า รายได้ในแต่ละปีที่ต่างกันค่อนข้างมากเกิดจากความแตกต่างของมูลค่าสัญญาก่อสร้างที่บริษัทลงนามในแต่ละปี โดยในปี 2562 น่าจะเป็นปีที่บริษัทได้รับงานก่อสร้างใหม่น้อยลงจากความเป็นไปได้ที่โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจะล่าช้าออกไป

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในด้านบวกต่ออุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากงบประมาณรายจ่ายสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการซึ่งรวมไปถึงแผนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของภาครัฐด้วย ในระยะกลางถึงระยะยาว บริษัทน่าจะได้ประโยชน์จากความพยายามของภาครัฐในการผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการในอนาคต

ความสามารถในการทำกำไรมีความแข็งแกร่ง

บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทอยู่ในช่วง 19%-22% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าผู้รับเหมาชั้นนำรายอื่น ๆ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะยังรักษาความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้จากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยการรวมศูนย์ต้นทุนไว้ที่ส่วนกลางช่วยให้บริษัทรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุและการจัดซื้อ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายวัสดุอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังพยายามทำให้ต้นทุนมีความยืดหยุ่นด้วยการใช้ผู้รับเหมาช่วงจำนวนมาก โดยกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยทำให้ต้นทุนคงที่อยู่ในระดับต่ำเนื่องจากบริษัทสามารถลดหรือขยายการรับงานได้ตลอดช่วงวงจรของอุตสาหกรรม แต่ในด้านลบ กลยุทธ์ดังกล่าวก็อาจทำให้บริษัทประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ โดยเฉพาะหากมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานออกมาพร้อมกันจำนวนมาก

การแข่งขันที่เข้มข้นและการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบหลักอาจทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า ราคาคอนกรีตอาจเพิ่มขึ้นต่อไปได้หากมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นจำนวนมาก การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำหากเกิดขึ้นก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันการทำกำไร อย่างไรก็ดี ผลกระทบในเชิงลบต่อการทำกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในวงจำกัดเพราะสัญญาก่อสร้างโดยปกติแล้วประกอบไปด้วยค่า Escalation Factor (K-factor) ซึ่งค่า K-factor นี้เปิดโอกาสให้สามารถปรับราคาได้

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ประมาณ 20% ในช่วงปี 2562-2564 ลดลงจาก 22% ในปี 2561 ระดับการทำกำไรดังกล่าวนั้นแม้จะลดต่ำลงแต่ยังถือว่าสูง โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของผู้รับเหมาชั้นนำรายอื่นที่ได้รับการจัดอันดับจากทริสเรทติ้งอยู่ในระดับต่ำกว่า 11% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

การก่อหนี้จะทรงตัวใกล้เคียงกับระดับเดิม

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 51.9% ในปี 2561 จากระดับ 33.3% ในปี 2557 จากการที่บริษัทรับงานก่อสร้างภาครัฐที่มีขนาดใหญ่ขึ้น งานก่อสร้างโครงการภาครัฐโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่การก่อสร้างและการชำระเงิน รวมถึงการปรับแบบก่อสร้างระหว่างการก่อสร้างอีกด้วย ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าการก่อหนี้ของบริษัทจะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับเดิมเนื่องจากบริษัทน่าจะยังคงรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่จากภาครัฐต่อไป

การส่งมอบโครงการขนาดใหญ่บางโครงการโดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (สถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ในปี 2562 น่าจะทำให้เงินลงทุนในเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทลดต่ำลงอันจะทำให้ระดับการก่อหนี้ลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อบริษัทรับงานก่อสร้างโครงการใหม่ที่มีขนาดใหญ่ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะผันผวนอยู่ในช่วง 30%-50% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า กระแสเงินสดเมื่อเทียบกับหนี้สินของบริษัทน่าจะผันผวนไปตามระดับหนี้สิน โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะยังคงอยู่เหนือระดับ 25%

สภาพคล่องสามารถบริหารจัดการได้

บริษัทน่าจะจัดการกับสภาพคล่องได้เป็นอย่างดีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ หนี้ประมาณ 2 ใน 3 ของทั้งหมดเป็นเงินกู้โครงการระยะสั้นจากธนาคาร ซึ่งเงินกู้โครงการจะให้ความยืดหยุ่นของระยะเวลาในการชำระหนี้ บริษัทมีเงินกู้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระปีละ 600-1,300 ล้านบาทในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดการณ์ไว้ที่ 1,500-2,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 น่าจะเพียงพอที่จะรองรับภาระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดได้ทั้งจำนวน ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกันประมาณ 5,400 ล้านบาทไว้ใช้เสริมสภาพคล่องอีกแหล่งหนึ่ง

ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไม่ให้เกิน 3.5 เท่า ซึ่งบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดเนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัท ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 1.1 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าวได้อย่างน้อยในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

สมมติฐานพื้นฐาน

• บริษัทจะลงนามในสัญญาก่อสร้างโครงการใหม่มูลค่า 5,000 ล้านบาทในปี 2562 และปีละ 20,000 ล้านบาทในปี 2563 และปี 2564

• มูลค่างานในมือของบริษัทประมาณ 80% จะรับรู้เป็นรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

• อัตรากำไรจากการดำเนินงานจะยังคงอยู่ในระดับประมาณ 20%

• เงินลงทุนรวมจะอยู่ในช่วง 500-800 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในโครงการก่อสร้างภาครัฐต่อไปได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งและการก่อหนี้จะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับในปัจจุบัน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มฐานรายได้ให้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและลดการพึ่งพิงโครงการเพียงไม่กี่โครงการลง ในขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรให้แข็งแกร่งรวมถึงควบคุมระดับการก่อหนี้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมากซึ่งอาจเป็นผลมาจากความล่าช้าของโครงการ หรือต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงกว่าคาด หรือการจัดการด้านเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มีประสิทธิภาพจนทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงต่ำกว่า 12% หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นสูงกว่า 60%

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550

บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (UNIQ)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
UNIQ222A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ