ทริสเรทติ้งปรับอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ขึ้นเป็นระดับ “A” จากระดับ “A-” และปรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ขึ้นเป็นระดับ “A” จากระดับ “A-” และปรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร ขึ้นเป็นระดับ “BBB+” จากระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากการรวมฐานการดำเนินการของธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจธนาคารพาณิชย์ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความหลากหลายของรายได้โดยเฉพาะรายได้ที่ไม่ได้มาจากการให้สินเชื่อ และฐานเงินทุนที่มีอยู่อย่างเพียงพอของธนาคาร อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก และการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมในระดับค่อนข้างสูง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
แหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย
สถานะทางธุรกิจของธนาคารเกียรตินาคิน และบริษัทย่อยภายใต้ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) (กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร) สะท้อนถึงธุรกิจที่มีความหลากหลาย ประกอบด้วยธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีความมั่นคง ธุรกิจวาณิชธนกิจที่แข็งแกร่ง และธุรกิจ Private Banking ที่มีการเติบโตสูง
สัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 60% และ 40% ตามลำดับของรายได้รวมในปี 2561 ซึ่งโดยรวมแล้วอยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์ไทยอื่น ๆ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีสัดส่วนค่อนข้างสูงอยู่ที่ระดับ 24.1% ของรายได้รวม
ทริสเรทติ้งคาดว่า ธุรกิจสินเชื่อจะคงสัดส่วนต่อรายได้สูงที่สุดในระยะอีกสามปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะมีขนาดค่อนข้างเล็กก็ตาม ณ สิ้นปี 2561 ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 9 จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งสิ้น 11 แห่ง ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อ 1.9% และเงินรับฝาก 1.5% ธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 78% ของรายได้รวม และ 72% ของกำไรสุทธิรวม ในขณะส่วนที่เหลือเป็นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน
ทริสเรทติ้งยังคาดว่าการเกื้อหนุนระหว่างธุรกิจในกลุ่มที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงมุ่งเน้นความร่วมมือในการให้บริการ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และการรวมฐานการดำเนินงานจะเพิ่มสัดส่วนของของรายได้และกำไรจากธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจสินเชื่อต่อไปได้ในอนาคต ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงต่อความผันผวนของธุรกิจตลาดทุนสูงก็ตาม
เพิ่มความหลากหลายนอกเหนือจากธุรกิจสินเชื่อรถยนต์
ธนาคารเกียรตินาคินมุ่งเน้นการกระจายการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และลูกค้าวาณิชย์ธนกิจ รวมถึงผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ในปี 2561 สินเชื่อรวมเติบโตในระดับ 18.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีการเติบโตในทุกกลุ่มสินเชื่อ สินเชื่อที่มีอัตราเติบโตสูงประกอบด้วยสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่ระดับ 24% และ 10% ตามลำดับ ในทางกลับกัน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เติบโตในระดับที่ช้ากว่าที่ระดับ 4.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากหดตัวในปี 2560 ส่งผลให้สัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ต่อสินเชื่อรวมลดลงอยู่ที่ระดับ 47% ณ สิ้นปี 2561 จาก 54% ในปีก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 10% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2561 จาก 8% ในปีก่อนหน้า สัดส่วนของสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 24% จาก 23% เช่นเดียวกัน โดยประกอบด้วยสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่อให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
เงินกองทุนเพียงพอ
ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ในระดับ 13%-14% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า เพียงพอต่อการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ลดลงสู่ระดับ 13.56% ณ สิ้นปี 2561 จาก 14.61% ณ สิ้นปี 2560 เนื่องจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงที่ระดับ 18.5% และอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่ระดับ 70% การปรับอันดับเครดิตขึ้นนั้นได้สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อและอัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ในระดับสูงเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยการประมาณการใช้สมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 60% อัตราการเติบโตของสินเชื่อในระดับ 6%-8% ในขณะที่เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นสัดส่วน 79% ของเงินกองทุนรวม ณ สิ้นปี 2561 สะท้อนถึงคุณภาพของเงินกองทุนในระดับปานกลาง
ผลกำไรที่ดีสนับสนุนการเพิ่มฐานทุน
ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งสนับสนุนการเพิ่มฐานทุนของกลุ่ม อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ระดับ 2.1% ในปี 2561 อยู่ในกลุ่มที่มีระดับสูงที่สุดในอุตสาหกรรม อัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังจากหักต้นทุนทางเครดิต อยู่ที่ระดับ 3.8% ในปี 2561 ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2.1% เช่นเดียวกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งประมาณการอัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังจากหักต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ที่ระดับ 3.5%-3.6% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานว่าอัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นจากสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะหักล้างจากอัตรากำไรจากดอกเบี้ยที่ลดลงจากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ และต้นทุนทางเครดิตไม่ได้เพิ่มขึ้นมากจากระดับปัจจุบัน โดยเชื่อว่าเมื่อพิจารณาร่วมกับที่มาของผลกำไรที่หลากหลาย ธนาคารมีความสามารถในการทำกำไรอย่างเพียงพอที่จะรองรับสภาวะความผันผวนตามวัฏจักรธุรกิจได้
ความคืบหน้าจากการพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ไปในทางที่ดีขึ้น
ในความเห็นของทริสเรทติ้ง ธนาคารเกียรตินาคินยังคงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์จากสินเชื่อคงค้างเดิม ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของกลุ่มในเพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารได้พยายามแก้ปัญหาหนี้เสียคงค้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้ของกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เดิม และในขณะเดียวกันก็ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือทางเครดิตสูงขึ้น ทั้งนี้ พอร์ตสินเชื่อที่กระจายตัวมากขึ้นซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อรายย่อยที่มีความหลากหลายจะมีส่วนช่วยจำกัดความเสี่ยงทางเครดิตในอนาคตได้
ต้นทุนทางเครดิตโดยรวม อยู่ที่ระดับ 1.04% ในปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปีที่ผ่านมาแต่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ไม่รวมส่วนของธุรกิจบริหารหนี้ ก็ลดลงเหลือ 3.9% ณ สิ้นปี 2561 จาก 4.7% ณ สิ้นปี 2560 ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 3.6% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและธุรกิจก่อสร้างลดลงมาที่ระดับ 13.6% ณ สิ้นปี 2561 จาก 21.4% ในปีก่อน โดยมีมูลค่ารวมของหนี้เสียลดลง ซึ่งหนี้ที่มีปัญหาเหล่านี้เป็นหนี้มูลค่าขนาดใหญ่ที่มีหลักประกันให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่กี่ราย
มีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสูง
แหล่งเงินทุนของธนาคารเกียรตินาคินสะท้อนถึงแหล่งเงินทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดเล็กซึ่งมีสัดส่วนของฐานเงินฝากรายย่อยที่ค่อนข้างน้อย และมีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมในระดับสูง สัดส่วนของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current Account and Savings Account – CASA) ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงแหล่งเงินทุนที่มีความมั่นคงสูงอยู่ที่ระดับ 38 % ณ สิ้นปี 2561 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ระดับประมาณ 60% ธนาคารมีเงินกู้ยืมอยู่ที่ระดับ 20% ของแหล่งเงินทุนรวม สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 5% อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วแลกเงินก็อยู่ในระดับสูงที่ 125% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำและการลดลงของเงินกู้ยืมในช่วงเวลาที่ผ่านมาโดยส่วนใหญ่แล้วมาจากการปฏิบัติตามเกณฑ์การดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (Net Stable Funding Ratio -- NSFR) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการบริหารต้นทุนทางการเงิน
ธนาคารพยายามสร้างฐานบัญชี CASA จากกลุ่มลูกค้ารายย่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อเสริมสถานะเงินทุน ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนอบัญชีเพื่อเงินฝากที่ใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์และกองทุนสำหรับลูกค้าธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (KKPSS) และการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝาก CASA และบริการบริหารเงินสดให้แก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ
สภาพคล่องเพียงพอ
ธนาคารเกียรตินาคินมีอัตราส่วนสภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) อยู่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดเล็กที่ 158% และค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ 183% ตามตัวเลขของ ธปท. อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อเงินฝากรวมตั๋วแลกเงินและเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารอยู่ที่ระดับ 30.4% ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์ไทยอื่น ๆ
อันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III
อันดับเครดิต “BBB+” สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 (KK25DA) สะท้อนความเสี่ยงในการด้อยสิทธิและความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ตามเงื่อนไขการรองรับผลขาดทุนเมื่อธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ตราสารดังกล่าวมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ Basel III และเป็นไปตามเกณฑ์ของ ธปท. เพื่อนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตราสารประเภทนี้มีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ไม่สามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ย และไม่สามารถแปลงสภาพได้ ธนาคารสามารถไถ่ถอนตราสารคืนทั้งจำนวนก่อนวันครบกำหนดได้ภายหลังระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสารและได้รับความเห็นชอบจาก ธปท. โดยผู้ถือตราสารประเภทนี้มีสิทธิที่ด้อยกว่าผู้ฝากเงินและผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของธนาคาร ทั้งนี้ ตราสารดังกล่าวสามารถตัดเป็นหนี้สูญได้ ในกรณีที่หน่วยงานกำกับดูแลพิจารณาเห็นว่าธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคาร ภายใต้เงื่อนไขที่ได้ระบุไว้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานที่ใช้ระหว่างปี 2562-2564
• อัตราการเติบโตของสินเชื่อ: 6%-8%
• ต้นทุนทางเครดิต: 1.1%-1.2%
• อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม: 3.0%-3.8%
• อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1: 13.7%-14.0%
• อัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังจากหักต้นทุนทางเครดิต: 3.7%-3.8%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าธนาคารเกียรตินาคินจะคงเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุน พัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ และเพิ่มการเกื้อหนุนกับธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งจะนำไปสู่ผลการดำเนินงานและสถานะทางเครดิตที่ดีขึ้น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับอันดับเครดิตขึ้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารเกียรตินาคินในการขยายธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และ/หรือเพิ่มความสามารถในการระดมเงินจากแหล่งเงินทุนที่มีความมั่นคงได้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากเงินกองทุนอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง และ/หรือความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลง หรือมีรายการขาดทุนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้คาดหมายจากธุรกิจตลาดทุน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการในการจัดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์, 30 มีนาคม 2560
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html