ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร “บล. ภัทร” เป็น “A” จาก “A-” และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “Stable” จาก “Positive”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 26, 2019 16:10 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A/Stable” จากเดิมที่ระดับ “A-/Positive” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิต A/Stable โดยทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นธนาคารแม่ของบริษัทและเป็นตัวแทนกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โดยอันดับดับเครดิตของทั้ง 2 บริษัทมีความเชื่อมโยงกันจากสถานะการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักสำคัญของกลุ่มเกียรตินาคินภัทร ซึ่งเห็นได้จากการสร้างกำไรในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญให้แก่กลุ่ม และความเชื่อมโยงทางธุรกิจที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทดังกล่าวยังสะท้อนการกระจายตัวที่ดีของแหล่งรายได้ของบริษัท ความสามารถในการทำกำไรที่ต่อเนื่อง และการมีสภาพคล่องและฐานทุนที่เพียงพอของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์จากธุรกิจการลงทุนด้วยบัญชีของบริษัท ซึ่งส่งผลต่อปัจจัยความเสี่ยง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าบริษัทเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญต่อกลุ่ม โดยบริษัทได้สร้างกำไรโดยเฉลี่ย 16% ของกำไรสุทธิของกลุ่มในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นการสร้างกำไรให้แก่กลุ่มในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ อีกทั้งในฐานะที่เป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและด้านการเงินจากธนาคารเกียรตินาคิน และสามารถขยายฐานลูกค้าโดยใช้ฐานลูกค้าของธนาคารได้ โดยเฉพาะฐานลูกค้านักลงทุนรายใหญ่ นอกจากนี้ ธนาคารเกียรตินาคินยังได้ให้วงเงินสินเชื่อจำนวนมากแก่บริษัท ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานของบริษัท

การกระจายตัวที่ดีของแหล่งรายได้

แหล่งรายได้ที่กระจายตัวดีช่วยให้บริษัทสามารถรักษาระดับรายได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยรายได้ค่านายหน้าในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็น 36.7% ของรายได้รวม ณ เดือนมิถุนายน 2561 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 61.5% โดยการพึ่งพารายได้ค่านายหน้าในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่น้อยกว่าอุตสาหกรรมนั้นลดโอกาสของการที่รายได้ของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดและจากการปรับตัวลดลงของค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งนี้ บริษัทยังมีรายได้จากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจำนวนมากที่ช่วยเพิ่มรายได้ของบริษัทในปี 2561 คิดเป็นสัดส่วน 31.1% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2561 ซึ่งมาจากรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และรายได้จากการเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการของบริษัทจะยังคงแข็งแรงในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากความร่วมมือกันทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัทและธนาคารเกียรตินาคินจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจวาณิชธนกิจและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของบริษัท ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการหลัก ในขณะเดียวกัน กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็น 10.7% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2561

ความสามารถในการทำกำไรจะแข็งแรงต่อเนื่อง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์กลุ่มลูกค้าสถาบันและธุรกิจวาณิชธนกิจที่แข็งแกร่ง และจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสร้างรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เนื่องจากการพัฒนาทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์และทีมขายอย่างต่อเนื่องของบริษัทส่งผลให้ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดทางด้านมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11.6% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2562 จาก 8.2% ในปี 2561 และเห็นได้จากมูลค่าจากการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 9.9% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2562 จาก 6.6% ในปี 2561 นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถรักษาอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยไว้ได้ท่ามกลางแรงกดดันต่ออัตราดังกล่าวในอุตสาหกรรม โดยอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 0.10% ในปี 2561 ลดลงเล็กน้อยจาก 0.11% ในปี 2560 และอยู่ในระดับเดียวกับอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทมีแนวโน้มที่จะคงอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของบริษัทไว้ได้เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นที่คุณภาพของการให้บริการมากกว่าการแข่งขันทางด้านราคา

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และที่ปรึกษาทางการเงินที่มีชื่อเสียงในตลาดทุน อีกทั้ง ความร่วมมือทางธุรกิจกับธนาคารเกียรตินาคิน ซึ่งรวมถึงการแนะนำลูกค้าจากธนาคารสู่บริษัท และการที่ธนาคารจัดเตรียมเงินกู้ระยะสั้นสำหรับลูกค้าวาณิชธนกิจของบริษัทมีแนวโน้มที่จะช่วยเสริมธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทและสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจวาณิชธนกิจให้แก่บริษัทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากการที่บริษัทมีแผนจะเพิ่มบริการและผลิตภัณฑ์ทางการงินต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยสินทรัพย์ภายใต้การบริหารโดยเฉลี่ยของบริษัทเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 476 พันล้านบาทในปี 2561 หรือเติบโต 16% จาก 412 พันล้านบาทในปี 2560 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 16.8% ต่อปีตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมนอกเหนือไปจากความสามารถในการสร้างรายได้ที่แข็งแรง โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิของบริษัทอยู่ที่ 42.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 59.8% ส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยแบบตัวเลขเต็มปีของบริษัทอยู่ที่ 6.9% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 4.3%

การได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านราคาของหลักทรัพย์และความเสี่ยงด้านเครดิตที่จำกัด

บริษัทมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านราคาของหลักทรัพย์ระดับหนึ่งเนื่องจากบริษัทประกอบธุรกิจการลงทุนด้วยบัญชีของบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์จำกัด เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทจำกัดอยู่ในกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ผันผวนตามการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาระบบบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเพียงพอเพื่อควบคุมดูแลธุรกิจดังกล่าว

บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางด้านเครดิต เนื่องจากบริษัทไม่ได้ให้บริการเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ความเสี่ยงทางด้านเครดิตของบริษัทจำกัดอยู่ในความเสี่ยงจากลูกหนี้จากการให้บริการเป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์เท่านั้น ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์จำกัด

สภาพคล่องที่เพียงพอและฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง

บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอเนื่องจากบริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจำนวนมากจากสถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทและเพียงพอสำหรับรองรับภาวะการขาดสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารเกียรตินาคิน ซึ่งเป็นธนาคารแม่ของบริษัทในจำนวนไม่เกิน 25% ของเงินกองทุนของกลุ่มการเงินภายใต้การกำกับดูแลแบบเดี่ยว (Solo Consolidation) เพื่อใช้ร่วมกับบริษัทย่อยอื่น ๆ ในกลุ่มตลาดทุนของกลุ่มธุรกิจการเงิน ซึ่งมีส่วนช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางสถานะทางการเงินมากขึ้น ทั้งนี้ การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท เช่น หุ้นกู้อนุพันธ์ ถือเป็นแหล่งเงินทุนอีกทางหนึ่งของบริษัทเช่นกัน บริษัทมีสินทรัพย์สภาพคล่องคิดเป็น 62.7% ของสินทรัพย์รวม ณ เดือนมิถุนายน 2561 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 37.6%

บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งซึ่งเพียงพอที่จะรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ โดย ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 6.1 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีฐานเงินทุนใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม บริษัทก็จัดว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วที่ค่อนข้างต่ำ โดยอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ที่ปรับตัวเลขแล้วของบริษัทอยู่ที่ 36.8% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 54.2% ทั้งนี้ การลดลงของอัตราส่วนนี้มาจากการขยายธุรกิจการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่บริษัทให้บริการแก่ลูกค้า อย่างไรก็ตาม บริษัทได้หยุดการประกอบธุรกิจการลงทุนด้วยบัญชีของบริษัทในส่วนกลยุทธ์ Hedge fund ในเดือนเมษายน 2562 และได้จัดสรรทรัพยากรบุคคลไปสู่ส่วนการให้คำแนะนำการลงทุนกับลูกค้าบุคคล ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 62% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ระดับ 7%

สมมติฐานกรณีพื้นฐานในปี 2562-2564

• อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 0.10%

• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิจะอยู่ระหว่าง 50%-52%

• อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 5%-6%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะรักษาสถานะการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มเกียรตินาคินภัทรและได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะรักษาความแข็งแกร่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในกลุ่มนักลงทุนสถาบันและธุรกิจวาณิชธนกิจท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และสามารถควบคุมความเสี่ยงซึ่งแฝงอยู่ในธุรกิจการลงทุนของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้หากสถานะด้านเครดิตของธนาคารเกียรตินาคินเปลี่ยนแปลงไป หรือสถานะในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทต่อกลุ่มเกียรตินาคินภัทรนั้นเปลี่ยนแปลงไป

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทหลักทรัพย์, 21 ธันวาคม 2560
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
?
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (PHATRA)
อันดับเครดิตองค์กร: A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ