ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการมีสินค้าที่หลากหลาย สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในตลาดบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม รวมถึงสัดส่วนของรายได้จากค่าบริหารธุรกิจและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่มากขึ้น นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนในระดับสูงของบริษัทด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในระยะสั้น
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สินค้าที่มีความหลากหลายภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดที่อยู่อาศัย
ทริสเรทติ้งมองว่าสินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ในหลายระดับราคาที่แตกต่างกัน คอนโดมิเนียมของบริษัทครอบคลุมระดับราคาต่ำถึงสูงซึ่งมีราคาขายอยู่ในช่วง 50,000 บาทถึง 400,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) บ้านเดี่ยวของบริษัทอยู่ภายใต้แบรนด์คณาสิริ ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ เศรษฐสิริ นาราสิริ และบ้านแสนสิริซึ่งมีราคาตั้งแต่ 4-240 ล้านบาทต่อยูนิต และทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์ฮาบิทาวน์ เมททาวน์ สิริเพลส สิริอเวนิว ทาวน์อเวนิว และบีอเวนิว ซึ่งครอบคลุมระดับราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาทจนถึง 6 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งเห็นว่าการมีสินค้าที่หลากหลายและแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการนำเสนอสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและรักษาสถานะทางการตลาดเอาไว้ได้ ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 38 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้า 15 โครงการ) และโครงการบ้านจัดสรร 58 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายรวม 78,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 54% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร
มีสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นผลมาจากยอดขายและยอดโอนจากทั้งโครงการของบริษัทเองและของกิจการร่วมค้า ยอดขายของบริษัทขึ้นสู่จุดสูงสุดที่ระดับ 48,344 ล้านบาทในปี 2561 โดยยอดขายคอนโดมิเนียมคิดเป็น 60%-65% ของยอดขายรวมในช่วงปี 2559-2561 ในขณะที่ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2562 ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 6,628 ล้านบาท ส่วนยอดโอนซึ่งรวมยอดโอนจากโครงการกิจการร่วมค้านั้นอยู่ที่ระดับ 30,000-32,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยอดโอนคอนโดมิเนียมมีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของยอดโอนทั้งหมดในช่วงระหว่างปี 2559-2561
บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมลดลงเหลือ 26,674 ล้านบาทในปี 2561 จาก 31,291 ล้านบาทในปี 2560 และ 34,131 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 28,000 ล้านบาทในปี 2562 และมากกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไปเนื่องจากบริษัทจะเปิดโครงการของบริษัทเองมากขึ้น
บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้คิดเป็นมูลค่า 53,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของบริษัทเองจำนวน 30,000 ล้านบาทและเป็นของกิจการร่วมค้าจำนวน 23,000 ล้านบาท บริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ของบริษัทจำนวน 7,300 ล้านบาทในปี 2562 จำนวน 7,200 ล้านบาทในปี 2563 จำนวน 11,000 ล้านบาทในปี 2564 และจำนวน 4,800 ล้านบาทในปี 2565 สำหรับยอดขายรอการรับรู้รายได้ของกิจการร่วมค้านั้นมีแผนจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงปี 2562-2565 เช่นกัน ทั้งนี้ ยอดขายรอการรับรู้รายได้จำนวนมากจะช่วยประกันรายได้ในอนาคตให้แก่บริษัทได้ส่วนหนึ่ง
รายได้จากค่าบริหารธุรกิจและส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่มากขึ้น
ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้า 15 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขาย 23,000 ล้านบาท โครงการกิจการร่วมค้าทั้งหมดดังกล่าวมียอดขายในสัดส่วน 58% และมียอดโอน 17% ทั้งนี้ ยอดขายรอการรับรู้รายได้ของกิจการร่วมค้ามีมูลค่า 23,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43% ของยอดขายรอการรับรู้รายได้ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าไปได้อีกในช่วง 4 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดโครงการจำนวนมากภายใต้กิจการร่วมค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนโครงการภายใต้กิจการร่วมค้าที่มากขึ้นจะยิ่งทำให้บริษัทมีรายได้ค่าบริหารธุรกิจที่มากขึ้นด้วย
?
ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากค่าบริหารธุรกิจของกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 3,500-4,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 และจะมีส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า 500-700 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาทในปี 2562 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านบาทในปี 2563 และ 10,000 ล้านบาทในปี 2564
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการทำกำไร
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 11% ในปี 2561 จาก 15% ในปี 2559 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6% ในปี 2561 จาก 9% ในปี 2559 ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากการรับรู้รายได้ที่ลดลงในช่วงปี 2560-2561
ในอนาคต ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงในหมู่ผู้ประกอบการรายใหญ่และจากอัตรากำไรที่ต่ำจากการบริหารธุรกิจภายใต้กิจการร่วมค้า อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิน่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 10% และ 7% ตามลำดับในช่วงปี 2562-2564 ทั้งนี้ สัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการภายใต้กิจการร่วมค้าจะช่วยทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทดีขึ้นในช่วงปี 2563-2564
ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยมีความผันผวนและมีการแข่งขันที่รุนแรง
แม้ว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมเป็นอย่างมากแต่ก็มีความผันผวนมากกว่าภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศประกอบกับภาวะหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทั่วประเทศส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดสินค้าราคาปานกลางถึงต่ำ นอกจากนี้ การนำเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นมาตรการใหม่ของ ธปท. มาบังคับใช้นั้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดขายคอนโดมิเนียมในระยะสั้น ภายใต้เกณฑ์ใหม่นี้ ผู้ซื้อบ้านสามารถกู้เงินได้ไม่เกิน 70%-80% ของมูลค่าหลักประกันสำหรับสัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และหลังถัด ๆ ไป ซึ่งลดลงจากเดิมที่สามารถกู้ได้ถึง 90%-100% ของมูลค่าหลักประกัน ดังนั้น บริษัทอาจจะต้องยืดการผ่อนค่ามัดจำให้แก่ผู้ซื้อบ้านบางราย ทั้งนี้ ความล่าช้าในการส่งมอบก็จะกระทบต่อการรับรู้รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ด้วย อย่างไรก็ตาม
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกันที่ลดลงสำหรับสัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และหลังถัด ๆ ไปนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในระยะยาว
การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในประเทศทำให้บริษัทต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ทั้งนี้ ยอดขายให้แก่ลูกค้าต่างชาติของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2560-2561 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 9,300 ล้านบาทในปี 2560 และ 14,000 ล้านบาทในปี 2561 จาก 5,400 ล้านบาทในปี 2559 หรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 24% ของยอดขายรวมในปี 2560 และ 29% ในปี 2561 จาก 17% ในปี 2559 ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าชาวจีน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดของการค้าโลกอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติได้ ดังนั้น บริษัทจึงควรบริหารจัดการการเปิดโครงการใหม่อย่างระมัดระวังเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม
อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับสูง
ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงปี 2562-2564 โดยสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะพุ่งขึ้นสูงในปี 2562 แต่จะปรับดีขึ้นหลังจากปี 2562 ไปแล้วเนื่องจากบริษัทจะมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมทั้งของบริษัทเองและของกิจการร่วมค้ามากขึ้นในช่วงปี 2563-2564 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดโครงการใหม่มูลค่า 45,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 โดยคาดว่าโครงการภายใต้กิจการร่วมค้าจะมีมูลค่า 5,000 ล้านบาทในปี 2562 และ 10,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนในโครงการกิจการร่วมค้าและบริษัทที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 1,800 ล้านบาทในปี 2562 และ 600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 อีกทั้งบริษัทจะใช้ยังคาดว่างบประมาณในการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการของบริษัทเองจำนวน 6,000-10,000 ล้านบาทต่อปี
แม้ว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรจะช่วยบรรเทาความต้องการเงินทุนลงไปได้บางส่วน แต่บริษัทก็ยังคงต้องการแหล่งเงินทุนจำนวนมากเพื่อการขยายธุรกิจให้เติบโตตามแผน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าเพื่อคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ที่ระดับ 5%-10% ด้วย
สภาพคล่องที่ตึงตัวแต่น่าจะสามารถบริหารจัดการได้
ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 6,301 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทอีกด้วย บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 18,635 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น 12,125 ล้านบาท หุ้นกู้ 3,997 ล้านบาท และเงินกู้โครงการ 2,513 ล้านบาท
สำหรับตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นนั้นบริษัทจะต่ออายุออกไปหรือจ่ายชำระคืนภายใน 3-6 เดือน โดยปกติแล้ว บริษัทมักใช้ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ส่วนเงินกู้โครงการนั้นบริษัทจะจ่ายชำระคืนด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการ บริษัทจะรักษาสัดส่วนของแหล่งเงินทุนจากหุ้นกู้ 50% เงินกู้โครงการ 25% และเงินกู้ยืมระยะสั้น 25% เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการพัฒนาโครงการแต่ละแห่ง
บริษัทจำเป็นต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินของวงเงินกู้ยืมจากธนาคารและหุ้นกู้ โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (ตามงบการเงินรวมของบริษัท) ไม่ให้เกินกว่า 2.5 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2561 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.68 เท่า ดังนั้น บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินอยู่ ทริสเรทติ้งหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งมีดังนี้
• บริษัทจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเองและของโครงการร่วมทุนมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาทต่อปี และโครงการบ้านจัดสรรมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
• งบประมาณในการซื้อที่ดินสำหรับโครงการของบริษัทเองอยู่ที่ 6,000-10,000 ล้านบาทต่อปี
• บริษัทจะใช้เงินลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 1,800 ล้านบาทในปี 2562 และ 600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงคาดว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน อีกทั้งจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิเอาไว้ได้ที่ระดับปัจจุบันในช่วงปี 2562-2564 แม้ว่าจะมีการขยายธุรกิจเชิงรุกแต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้ ทั้งนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ที่ระดับ 5%-10% เอาไว้ให้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเทียบเท่ากับผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับที่สูงกว่า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนควรอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 55% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15% ในระยะเวลาหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 31 ตุลาคม 2550
SIRI222A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,933.4 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+ SIRI229A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+ SIRI229B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+ SIRI231A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html