ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในฐานะหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย รวมทั้งฐานรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและเงินปันผลรับจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทในต่างประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งตามแผนงานของบริษัทด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของไทยและมีประสบการณ์ที่กว้างขวางในประเทศเวียดนาม
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของไทยมานานถึง 30 ปี บริษัทมียอดขายที่ดินมากเป็นอันดับสองเมื่อพิจารณาจากปริมาณขายที่ดินรวมของทั้งประเทศ โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยเฉลี่ยที่ระดับ 28.0% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่มีการขายที่ดินมากที่สุดคือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (38.0%) และอันดับสามคือ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (20.0%)
นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปในประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2537 บริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกในประเทศเวียดนามคือ Amata City (Bien Hoa) Industrial Estate (ACBH) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาปริมาณขายที่ดินใน ACBH อยู่ที่ระดับ 40-220 ไร่ต่อปี บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินในประเทศเวียดนามจำนวน 356-642 ล้านบาทในระหว่างปี 2559-2561 หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.0%-33.0% ของรายได้จากการขายที่ดินทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
การเติบโตของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังจากที่อุปสงค์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมตกต่ำมาหลายปี ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2561 อานิสงส์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกและความต้องการที่ดินที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มนักลงทุนชาวจีนส่งผลทำให้ยอดขายที่ดินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 823 ไร่ในปี 2561 และ 128 ไร่ในไตรมาสแรกของปี 2562 เทียบกับระดับ 360-620 ไร่ต่อปีในช่วงปี 2557-2560
ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทจะยังคงได้ประโยชน์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจากการที่บริษัทมีที่ดินจำนวนมากถึงประมาณ 12,000 ไร่ในจังหวัดชลบุรีและระยอง กอปรกับความต้องการในการย้ายฐานการผลิตที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากความตึงเครียดของสงครามทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ดินในประเทศเวียดนามของบริษัทจะลดลงอย่างมากในปี 2562-2563 เนื่องจากไม่มีที่ดินที่พร้อมรอการขาย ในปีนี้ ACBH มีที่ดินที่รอการโอนเพียง 2 เฮกเตอร์ (ประมาณ 12.5 ไร่) เท่านั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตเพื่อที่จะพัฒนาที่ดินในเฟสต่อไปในเขต ACBH
สำหรับนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ในประเทศเวียดนามของบริษัทคือ Amata City Long Thanh (ACLT) และ Amata City Halong (ACHL) นั้นอยู่ในระหว่างการพัฒนา อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนานิคมฯ ทั้งสองมีความล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมเนื่องจากขั้นตอนในการขอรับใบอนุญาตมีความล่าช้า ปัจจุบันโครงการทั้งสองอยู่ในระหว่างขั้นตอนการยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการดังกล่าวได้ในช่วงปลายปี 2562 และจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2563
ฐานรายได้ประจำเพิ่มขึ้น
สถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รายได้ดังกล่าวมีความแน่นอนสูงและช่วยลดความผันผวนของยอดขายที่ดินได้บางส่วน ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคของบริษัทครอบคลุมไปถึงการให้บริการน้ำดิบ น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม และบริการบำบัดน้ำเสีย บริษัทมีรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,837 ล้านบาท หรือ 42% ของรายได้รวมในปี 2561 จาก 1,253 ล้านบาท หรือ 17% ของรายได้รวมในปี 2556 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณลูกค้าและความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท ทั้งนี้ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคของบริษัทยังคงมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากลูกค้าที่ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเริ่มทยอยเข้ามาดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่อง
?
เงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้าช่วยเพิ่มกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอแก่บริษัท
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงเงินปันผลที่คาดการณ์ได้ที่บริษัทได้รับจากธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยบริษัทมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่งร่วมกับ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด ปัจจุบันกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ 260 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้นผ่านกิจการร่วมทุนในสัดส่วน 4.0% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ABPIF) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า 2 แห่งในจังหวัดชลบุรีด้วย ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนจำนวนมาก
การขยายงานอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38.0% ณ เดือนมีนาคม 2562 จาก 34.4% ในปี 2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการรออยู่ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนในการซื้อและพัฒนาที่ดินในประเทศไทย ตลอดจนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่หลายแห่งในประเทศเวียดนาม พม่า และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) แม้จะมีการลงทุนจำนวนมาก แต่ทริสเรทติ้งก็มีสมมติฐานที่คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50.0% ได้ในระหว่างปี 2562-2564
ทริสเรทติ้งเห็นว่ากระแสเงินสดเพื่อรองรับภาระหนี้ของบริษัทมีความเพียงพอ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ที่ระดับ 17.0%-34.0% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 7-9 เท่า
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3,000 ล้านบาทในช่วงปี 2562-2564 เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 11.0%-15.0% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับ 5-6 เท่าในช่วงเดียวกัน สภาพคล่องของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยบริษัทมีเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมจำนวนประมาณ 2,000 ล้านบาท และยังมีวงเงินกู้ยืมที่เพียงพอจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่ง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• บริษัทจะมีรายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
• อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 46%-48% ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับประมาณ 35%-40%
• ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมต่อไปได้ ในขณะที่รายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รวมทั้งเงินปันผลจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และรายได้ค่าเช่าโรงงานอุตสาหกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานให้แก่บริษัทได้บางส่วนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทและอันดับเครดิตหุ้นกู้อาจได้รับการปรับลดลงได้หากการแข่งขันทวีความรุนแรงหรือความต้องการในการลงทุนที่อ่อนตัวลงมีผลกระทบทำให้รายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทยังสามารถรักษาโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html