ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ค่อนข้างน้อยของบริษัทแม้ว่าสินเชื่อคงค้างจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการมีภาระหนี้และฐานทุนที่อยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยกังวลสำคัญที่จะกระทบต่ออันดับเครดิต ได้แก่ ผลการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการสินเชื่อรถยนต์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้นก็อาจส่งผลทำให้คุณภาพสินทรัพย์เสื่อมถอยลงไปอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ศักยภาพในการขยายสินเชื่อของบริษัทในอนาคตก็อาจถูกจำกัดจากการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้อีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางการตลาดปรับตัวดีขึ้น
สถานะทางการตลาดของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจะเห็นได้จากยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วเป็น 6.03 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 145% จาก 2.46 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากความสามารถในการทำการตลาดของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2562 ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโต 7% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2561 เป็น 6.47 พันล้านบาท ถึงแม้ว่ายอดสินเชื่อคงค้างจะเติบโตอย่างมาก แต่บริษัทยังถือว่ามีสถานะทางการตลาดที่ค่อนข้างอ่อนแอเมื่อพิจารณาจากสินเชื่อคงค้างที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทจะเติบโตที่ประมาณ 10% ต่อปีไปในระยะ 3 ปีข้างหน้า
ผลกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นสิ่งท้าทาย
ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นความท้าทายของบริษัท ถึงแม้ว่าผลประกอบการทางการเงินของบริษัทในปี 2561 จะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2560 โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 142 ล้านบาทในปี 2561 หรือเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่กรณีดังกล่าวก็เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับที่ปรับตัวดีขึ้นจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างมาก ถึงแม้ว่าบริษัทจะสามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานในปี 2561 ให้คงที่ได้ แต่ค่าใช้จ่ายหนี้สูญก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อก็ลดลงด้วย
ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าสินเชื่อของบริษัทจะยังคงเติบโตได้ในขณะที่ภาระหนี้ที่สูงขึ้นอาจเป็นข้อจำกัดต่อความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่ของบริษัท ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความพยายามในการจัดเก็บหนี้และผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายรถยึด นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายหนี้สูญก็อาจจะเพิ่มขึ้นจากปี 2561 เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อมีแนวโน้มจะคงที่จากนโยบายของทางผู้บริหาร จากสมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยจะยังคงอยู่ในระดับ 2.0% ต่อปีไปจนถึงปี 2564 ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในช่วง 1.3%-1.9% และส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับเกินกว่า 5%
คุณภาพสินเชื่ออ่อนแอลง
อันดับเครดิตตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะไม่อ่อนแอลงไปมากกว่านี้ โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า ถึงแม้ว่าสินเชื่อรวมของบริษัทในปี 2561 จะเติบโตอย่างมากแต่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวมของบริษัทกลับเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% ณ สิ้นปี 2561 จาก 2.8% ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ณ เดือนมิถุนายน 2562 จากความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้า กรณีดังกล่าวทำให้ทริสเรทติ้งมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์เนื่องจากอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริหารมีความพยายามในการปรับปรุงกระบวนการในการติดตามหนี้และเกณฑ์การปล่อยกู้ให้เข้มงวดขึ้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทน่าจะมีแนวโน้มที่จะรักษาอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ต่ำกว่า 4% เอาไว้ได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า
ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้น
ภาระหนี้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลางและเหมาะสมกับอันดับเครดิตล่าสุด อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อใช้ในการขยายสินเชื่อในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2.97 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2562 เมื่อเทียบกับ 1.3 เท่า ณ สิ้นปี 2559 ถึงแม้อัตราส่วนดังกล่าวจะต่ำกว่าข้อตกลงที่มีกับสถาบันการเงินที่บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 4 เท่า แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาระหนี้ของบริษัทก็อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นข้อจำกัดต่อการขยายฐานสินเชื่อในเชิงรุกของบริษัทเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ความเสี่ยงของค่าใช้จ่ายหนี้สูญจากอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่อยู่ในระดับต่ำ
ทริสเรทติ้งเห็นว่าอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทเป็นอัตราที่ไม่มากพอที่จะทำให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนในทางลบจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ อัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทต่ำกว่าของคู่แข่งซึ่งมีค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 50% ในปี 2561 สัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 27% ณ เดือนมิถุนายน 2562 ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีฐานทุนที่แข็งแรงและเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงดังกล่าวได้ แต่อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมก็มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่การตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) ในปี 2563 อาจจะส่งผลกระทบต่อฐานทุนของบริษัททั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่ทริสเรทติ้งก็ไม่คิดว่าลำพังเพียงผลกระทบจากการต้องตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้
สภาพคล่องอยู่ในระดับปานกลางแต่ความยืดหยุ่นทางการเงินค่อนข้างน้อย
ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในระดับปานกลางในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ณ เดือนสิงหาคม 2562 บริษัทมีส่วนต่างทางด้านระยะเวลาระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินภายในระยะ 1 ปีเป็นบวก เงินที่บริษัทจะได้รับจากการชำระคืนสินเชื่อของลูกหนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.9 พันล้านบาทในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.8 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
ในด้านของเงินทุนนั้น บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแหล่ง รวมทั้งยังสามารถออกหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การขยายฐานสินเชื่อในเชิงรุกในขณะที่ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้นก็จะเป็นความท้าทายที่สำคัญของบริษัท เนื่องจากวงเงินกู้ยืมจากธนาคารส่วนใหญ่มีการค้ำประกันโดยการโอนสิทธิลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ บริษัทจึงมีความยืดหยุ่นทางการเงินน้อยกว่าคู่แข่งรายสำคัญ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• การขยายตัวของสินเชื่อจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ประมาณ 10% ต่อปีในระหว่างปี 2562-2564
• ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 5.40%-5.75% ในระหว่างปี 2562-2564
• ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะอยู่ในช่วง 1.3%-1.9% ในระหว่างปี 2562-2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งจะมีผลประกอบการทางการเงินที่มั่นคงและน่าพึงพอใจ รวมถึงจะรักษาฐานทุนให้แข็งแกร่งเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ไม่ให้อ่อนแอลงไปมากกว่านี้ รวมทั้งจะมีการสำรองหนี้สูญที่แข็งแกร่งมากขึ้น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแรงขึ้นโดยมีคุณภาพสินทรัพย์ที่เติบโตเป็นอย่างดีและผลประกอบการทางการเงินของบริษัทแข็งแรงขึ้นด้วย ที่สำคัญก็คือบริษัทจำเป็นจะต้องปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์และตั้งสำรองหนี้สูญให้แข็งแกร่งเพื่อให้ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมด้วย
อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทสูงเกินกว่าระดับ 4 เท่า หรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงจนส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรและฐานทุนของบริษัทถดถอยลง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร, 7 พฤษภาคม 2561
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html