ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (เดิมชื่อ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน)) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่”
แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต “A-” ด้วยแนวโน้ม “Negative”) ซึ่งถือหุ้นเกือบทั้งหมดในบริษัท โดยอันดับเครดิตของบริษัทซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญจะอยู่ในระดับเดียวกับและเคลื่อนไหวไปตามทิศทางอันดับเครดิตของบริษัทแม่ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่ม (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและฐานรายได้ประจำจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค จากธุรกิจให้เช่าและบริการ รวมถึงเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังถูกจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่มดับบลิวเอชเอ
บริษัทดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ เป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น เมื่อพิจารณาจากความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และการเป็นผู้สร้างรายได้หลักให้แก่กลุ่มดับบลิวเอชเอ บริษัทรวมถึงบริษัทลูกรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภทคือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจการให้บริการสาธารณูปโภค การที่มีบริษัทแม่เป็นผู้ควบคุมทิศทางการดำเนินธุรกิจและนโยบายทางการเงินทั้งหมดของบริษัท จึงทำให้สถานะเครดิตของบริษัทมีความเชื่อมโยงกับสถานะเครดิตของบริษัทแม่อย่างใกล้ชิด
ในปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมคิดเป็นสัดส่วน 86% ของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นสัดส่วนเกือบทั้งหมดของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น
เป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
บริษัทมีสถานะเป็นผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศโดยรวม บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ระดับ 42%-58% ในระหว่างปี 2556-2561 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38% รองลงมาคือ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (28%) และ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (20%)
เมื่อไม่นานมานี้บริษัทได้ขยายการลงทุนไปในประเทศเวียดนาม โดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของบริษัทตั้งอยู่ในเมือง
Nghe An บริษัทได้รับใบอนุญาตลงทุนจากรัฐบาลเวียดนามในการเช่าที่ดินขนาด 498 เฮกตาร์ (หรือ 3,100 ไร่) การลงทุนระยะเริ่มต้นของบริษัทจะครอบคลุมที่ดินประมาณ 1,000 ไร่ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการโอนพื้นที่ในปี 2563
ความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
การเติบโตของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน การหดตัวของภาคการลงทุนและอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
หลังจากยอดขายที่ดินของบริษัทเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 2,000 ไร่ในปี 2556 แล้วก็ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 800-1,000 ไร่ในปี 2558-2560 ทั้งนี้บริษัทมียอดขายที่ดินเท่ากับ 933 ไร่ในปี 2561 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 บริษัทมียอดขายที่ดินจำนวน 259 ไร่ เทียบกับระดับ 173 ไร่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้อนุมัติโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก บริษัทก็จะได้รับอานิสงส์จากโครงการดังกล่าวด้วยเช่นกันเนื่องจากบริษัทมีที่ดินจำนวนประมาณ 9,600 ไร่ (รวมถึงที่ดินที่อยู่ระหว่างการรอพัฒนา) ซึ่งประมาณ 85% ของที่ดินทั้งหมดนี้อยู่ในเขตจังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกคือชลบุรีและระยอง นอกจากนี้ ความต้องการที่ดินที่เพิ่มขึ้นยังมาจากกลุ่มนักลงทุนชาวจีนและชาวไต้หวันซึ่งเป็นผลมาจากความตึงเครียดของสงครามทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนที่ยืดเยื้ออีกด้วย
รายได้ค่าเช่าและค่าบริการลดลงจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ
รายได้ค่าเช่าของบริษัทลดลงอย่างมากเนื่องจากบริษัทได้ขายสินทรัพย์จำนวนมากให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT หรือทรัสต์ฯ) ในช่วงปลายปี 2559 และต้นปี 2561 ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ซบเซายังส่งผลกระทบต่อความต้องการสินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทอีกด้วย โดยรายได้ค่าเช่าของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 178 ล้านบาทในปี 2561 และ 88 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จาก 618 ล้านบาทในปี 2559 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าเริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่า (Occupancy Rate) ในช่วงที่ผ่านมา อัตราการเช่าของสินทรัพย์ให้เช่าภายใต้การดูแลของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจาก 62% ในปี 2561 มาอยู่ที่ระดับ 66% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562
ในอนาคตข้างหน้า ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าความต้องการโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าของบริษัทที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม
กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจโรงไฟฟ้า
รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมและความต้องการใช้น้ำของโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทและการปรับราคาค่าบริการอีกด้วย โดยบริษัทพยายามจำหน่ายน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมและน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้นเนื่องจากมีราคาและกำไรที่สูงกว่าน้ำดิบ บริษัทมีรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาทในปี 2561 และ 1.1 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จากระดับ 1.6 พันล้านบาทในปี 2556 โดยคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate -- CAGR) ที่ระดับ 6.0%
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับเงินปันผลที่แน่นอนจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่งอีกด้วย ปัจจุบันกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ 554 เมกะวัตต์และจะเพิ่มขึ้นเป็น 577 เมกะวัตต์ภายในช่วงต้นปี 2563 บริษัทได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2561 จากระดับ 700 ล้านบาทในปี 2560 ทั้งนี้ เงินปันผลรับในปี 2562จะยังอยู่ในระดับต่ำจากการจ่ายเงินปันผลที่ลดลงของโรงไฟฟ้า GHECO-1 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีและการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2562 และจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 700 ล้านบาทในปี 2563 และประมาณ 1,000 ล้านบาทในปี 2564-2565 เงินปันผลดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 15% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในปี 2563 และประมาณ 19% ในปี 2564-2565
ทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคและธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทมีเสถียรภาพอีกทั้งยังช่วยลดความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้บางส่วน
ภาระหนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
เงินกู้รวมของบริษัทลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการทยอยชำระหนี้อย่างต่อเนื่องโดยใช้เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชนของบริษัทย่อยคือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตลอดจนเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ และเงินกู้ที่ได้รับชำระคืนจากบริษัทแม่ ส่งผลให้หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วลดลงมาอยู่ที่ 1.51 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 จากระดับที่สูงถึง 2.37 หมื่นล้านบาทในปี 2559 โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 38.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 จากระดับ 56.4% ณ สิ้นปี 2559
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่รอการพัฒนาอยู่ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2562-2565 โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนซื้อที่ดินและพัฒนาพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยรวมถึงประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ จะใช้ลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคและโรงไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่จะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4.0-5.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2565 เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 2.7-4.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากระดับประมาณการกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ตลอดจนภาระการชำระคืนหนี้ และเงินลงทุนดังกล่าวแล้วคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 15%-29% ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.7-4.7 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลง 5% ในปี 2562 และจะเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2563 และค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น 1%-2% ในปี 2564-2565
• อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 57%-60% ในปี 2562-2565
• ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2562-2565
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่มของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น อันดับเครดิตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดใดในอันดับเครดิตของบริษัทดับบลิวเอชเอ
คอร์ปอเรชั่น ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html