ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “BB+” โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเสี่ยงทางธุรกิจในระดับสูงจากการอยู่ในอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง (Dry-bulk Shipping) ที่มีความผันผวนสูงรวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงพื้นฐานภาวะอุปสงค์และอุปทานที่มีความสมดุลมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาวะสงครามการค้าที่ยืดเยื้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวของค่าระวางเรือมีความไม่แน่นอนยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
การเพิ่มขึ้นของอุปทานในระดับต่ำช่วยส่งเสริมพื้นฐานอุตสาหกรรมโดยรวม
ความเสี่ยงทางธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทสะท้อนถึงลักษณะที่มีความผันผวนสูงของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ซึ่งปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมมีความผันผวนคือภาวะอุตสาหกรรมส่วนเกินที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องจากการที่อุตสาหกรรมประกอบไปด้วยผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากและมีการแข่งขันสูงจนส่งผลให้การควบคุมอุปทานเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ดี ภาวะอุปทานของเรือในปัจจุบันได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งจะทำให้ภาวะตลาดเอื้ออำนวยต่อผู้ประกอบการเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองมากยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการขนส่งของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะยังคงเติบโตในระดับปานกลางในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการจำกัดปริมาณค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิง (IMO 2020) ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งการที่ผู้ประกอบการจะสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าวได้นั้น เจ้าของเรือจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ Scrubber เพื่อกำจัดกำมะถันส่วนเกิน หรือใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่ากำมะถันต่ำ ซึ่งทางเลือกทั้ง 2 แนวทางดังกล่าวล้วนส่งผลทำให้อุปทานลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากการติดตั้งอุปกรณ์ Scrubber กินเวลาหลายสัปดาห์ ในขณะที่การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่ากำมะถันต่ำก็มีต้นทุนที่แพงขึ้นซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะเดินเรือในอัตราความเร็วที่ช้าลง นอกจากนี้ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าวยังจะส่งผลเร่งให้มีการปลดระวางเรือมากยิ่งขึ้นสำหรับเรือเก่าและเรือที่ไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ อีกทั้งยังจะมีผลทำให้เกิดการชะลอการสั่งต่อเรือใหม่เนื่องจากความไม่แน่นอนในเรื่องการออกแบบติดตั้งระบบเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ต่าง ๆ ดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าอุปทานของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะเติบโตที่ระดับเฉลี่ย 2%-3% ต่อปีในช่วงปี 2562-2563 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี
ภาวะสงครามการค้าส่งผลกดดันการเติบโตของอุปสงค์
อุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ระดับของกิจกรรมในอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นไปตามความต้องการด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก และการค้ามีความสัมพันธ์กัน ในอดีตปริมาณการค้าของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองนั้นมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product -- GDP) ของโลกเล็กน้อย ดังนั้น หากภาวะตึงเครียดหรือสงครามทางการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนมีความยืดเยื้อก็จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางการค้าโดยรวม อีกทั้งจะยับยั้งการขยายตัวของ GDP และการค้าโลกจนอาจส่งผลให้อุปสงค์ของเรือสินค้าแห้งเทกองชะลอตัวในที่สุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund -- IMF) คาดว่า GDP ของโลกจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงที่ระดับ 3.2% ในปี 2562 และ 3.5% ในปี 2563 เทียบกับระดับ 3.6% ในปี 2561 ซึ่งภาวะสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและไม่แน่นอนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกยิ่งชะลอตัวมากขึ้น
ผลการดำเนินงานขึ้นอยู่กับพัฒนาการของค่าระวางเรือ
ผลการดำเนินงานของบริษัทมีความผันผวนตามธรรมชาติของอุตสาหกรรมและพัฒนาการของค่าระวางเรือ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ดัชนีค่าระวางเรือบัลติค (Baltic Dry Index -- BDI) ซึ่งใช้เป็นดัชนีอ้างอิงค่าระวางเรือ (Time Charter Rate -- TC) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 896 จุด เป็นตัวเลขที่ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 1,353 จุดในปี 2561 ในขณะที่ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 9,113 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งลดลงจาก 10,866 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2561 โดยมีสาเหตุหลักมาจากภัยพิบัติเหมืองถล่มของบริษัท Vale S.A. ในประเทศบราซิลและสภาพอากาศที่เลวร้ายในประเทศออสเตรเลียซึ่งส่งผลกระทบในด้านลบต่อการผลิตและขนส่งแร่เหล็ก นอกจากนี้ เหตุการณ์ไข้หวัดหมูระบาดในประเทศจีนก็ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าถั่วเหลืองของประเทศจีนลดลงอีกด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 จะมีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวคลี่คลายลงและการที่ BDI ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562
สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 9,700-10,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2562 โดยพิจารณาจากค่าระวางเรือที่ต่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 และเมื่อภาวะอุปทานมีความสมดุลมากขึ้น ทริสเรทติ้งก็คาดว่าค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 10,600-12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2563-2564 สมมติฐานของทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะยังมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 36%-42% ในช่วงปี 2562-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ระดับ 50-62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีและจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 28-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2562-2564
ภาระหนี้จะปรับตัวดีขึ้น
ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับสูงจากการที่บริษัทใช้เงินกู้ยืมเป็นหลักในการซื้อเรือ ณ เดือนมิถุนายน 2562 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 398 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 6.6 เท่าและมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 8.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน)
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปี 2562 โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ 7-7.5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 8% ในปี 2562 หลังจากนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ 4-5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับ15%-20% ในระหว่างปี 2563-2564 ในการนี้ ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นตามแนวโน้มขาขึ้นของตลาดและคาดหมายว่าบริษัทจะไม่มีค่าใช้จ่ายลงทุนในระดับสูงในช่วงเวลาดังกล่าวเนื่องจากบริษัทยังไม่มีแผนในการซื้อเรือใหม่
สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งยังรวมถึงการคาดการณ์ว่ากระบวนการเรื่องข้อพิพาทที่บริษัทมีกับอู่ต่อเรือจะมีข้อยุติในปี 2563 และบริษัทจะได้รับเงินคืนจำนวน 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากจำนวนทั้งหมด 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่บริษัทได้จ่ายไปแล้วตามค่างวดของการสั่งต่อเรือ อย่างไรก็ดี ถ้าหากผลการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวไม่เป็นคุณต่อบริษัทก็จะส่งผลให้บริษัทอาจต้องสูญเงินที่จ่ายเป็นค่างวดในการสั่งต่อเรือถึง 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทดังกล่าวเพิ่มอีกประมาณ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ บริษัทยังอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสียหาย การสูญเสีย ดอกเบี้ย และ/หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ในขณะนี้อีกบางส่วนด้วย ทริสเรทติ้งมองว่าผลการพิจารณาข้อพิพาทดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทเป็นอย่างมาก โดยในกรณีที่คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตัดสินให้บริษัทแพ้คดี อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทก็จะยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงและเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับภาระหนี้สินทางการเงินในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าได้ โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายลงทุนประมาณ 6-8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนแหล่งเงินทุนของบริษัทนั้นคาดว่าจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานปีละ 50-60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอีก 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ เดือนมิถุนายน 2562 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนทั้งการกู้ยืมเงินจากธนาคารและการออกหุ้นกู้รวม 80-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปใช้จ่ายชำระหนี้ ในขณะที่สมมติฐานของทริสเรทติ้งยังคาดว่า บริษัทจะได้รับเงินอีกจำนวน 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเงินคืนค่างวดการสั่งต่อเรือจากข้อพิพาทที่มีกับอู่ต่อเรือที่จะยุติลงในปี 2563 อีกด้วย ทริสเรทติ้งจึงคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาระดับสภาพคล่องให้เพียงพอเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินรวมถึงรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ภาวะตลาดมีความผันผวนอีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 9,700-10,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2562 และจะอยู่ระหว่าง 10,600-12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในระหว่างปี 2563-2564
• อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 36%-42% ในช่วงปี 2562-2564
• ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมประมาณ 8-10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระหว่างปี 2562-2563
• บริษัทจะได้รับเงินคืนค่างวดการสั่งต่อเรือจำนวน 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงภาวะอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่ปรับตัวดีขึ้นและความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะของอุตสาหกรรม ในการนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังด้วยว่าบริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้ดีต่อไปด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงในกรณีที่ภาวะอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวยหรือฐานะการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงเกินกว่าสมมติฐานของทริสเรทติ้งเป็นอย่างมากทั้งจากผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงหรือภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจนส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ต่ำกว่าระดับ 10% อย่างต่อเนื่อง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ภาวะตลาดเอื้ออำนวยและบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาดอย่างต่อเนื่องจนส่งผลทำให้บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่สูงกว่าระดับ 20% ได้อย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html