ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ทีเอ็มที สตีล” ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 6, 2019 14:30 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ ”คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทที่เหนือกว่าผู้ค้าเหล็กที่อยู่ในธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) รวมถึงการมีสินค้าจำนวนมาก ฐานลูกค้าที่หลากหลาย และความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากความเสี่ยงที่เกิดจากวงจรของอุตสาหกรรมเหล็ก ตลอดจนราคาวัตถุดิบที่ผันผวน และแรงกดดันจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่เหนือกว่าผู้ค้าเหล็กที่อยู่ในธุรกิจปลายน้ำ

อันดับเครดิตของบริษัทยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำทางการตลาดของบริษัทในด้านการให้บริการด้านเหล็กแบบครบวงจร (Steel Solution Provider) ในประเทศไทย บริษัทมีขนาดของรายได้ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มคู่แข่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และอยู่ในธุรกิจปลายน้ำด้วยกัน ทั้งนี้ บริษัทสร้างความแตกต่างจากผู้ค้าเหล็กรายอื่น ๆ โดยการนำเสนอบริการด้านเทคนิคและการให้คำปรึกษาที่ช่วยให้ลูกค้าบรรลุประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น

การมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่รวมถึงการจัดการที่ดีตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทช่วยให้การบริการของบริษัทเหนือกว่าคู่แข่งทั้งในแง่ของความแน่นอนในการจำหน่ายสินค้า การจัดส่งสินค้าที่ยืดหยุ่น และความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้มีมากยิ่งขึ้น การขยายกำลังผลิตของบริษัทนั้นรวมไปถึงการสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับการผลิตท่อเหล็กและการขยายพื้นที่คลังสินค้าให้กว้างขวางมากขึ้น

จากจุดแข็งเหล่านี้ทำให้ปริมาณการขายของบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าความต้องการของตลาดภายในประเทศจะซบเซาลงก็ตาม โดยยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุดซึ่งเป็นสถิติใหม่ที่ 0.76 ล้านตันในปี 2561 หรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 11% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

มีสินค้าที่ครอบคลุมและฐานลูกค้าที่หลากหลาย

การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการมีสินค้าที่หลากหลายของบริษัทซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าเหล็กชนิดแบน เหล็กชนิดยาว และสินค้าที่สั่งทำเฉพาะอีกด้วย การมีสินค้าที่หลากหลายนั้นช่วยให้บริษัทสามารถเป็น One-stop Steel Supplier ซึ่งสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าการที่บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดที่หลากหลายจะช่วยลดความผันผวนของความต้องการเหล็กลงได้ ลูกค้าของบริษัทประกอบไปด้วยผู้ค้าส่งและตัวแทนจำหน่าย รวมไปถึงผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก ตลอดจนผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายสินค้าเหล็กให้แก่ผู้ค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายคิดเป็นประมาณ 43% ของรายได้รวม ในขณะที่อีก 32% มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง และ 23% มาจากผู้ผลิตในภาคยานยนต์และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังเกี่ยวเนื่องกับคุณภาพลูกหนี้ที่ดีของบริษัทอีกด้วย

ความสามารถในการทำกำไรที่เหนือคู่แข่ง

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นยังคงดีกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่โดยเห็นได้จากการมีผลกำไรติดต่อกันหลายปีในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรที่น่าพอใจอยู่ได้แม้ในเวลาที่ตลาดปรับตัวลดลง ในขณะที่ผู้ค้าเหล็กหลายรายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างก็ประสบกับภาวะขาดทุนและมีผลกำไรที่แกว่งตัวอย่างมาก

ความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าของบริษัทนั้นมีที่มาจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการให้บริการด้านคำปรึกษาและความสามารถในการลดผลกระทบจากความผันผวนของเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (Hot Rolled Coil -- HRC) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญได้ นอกจากนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพและการหมุนเวียนสินค้าคงคลังให้รวดเร็วเพื่อช่วยให้อัตรากำไรนั้นมีความเสถียรอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อรายได้ที่ระดับ 4%-7% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งค่อนข้างสูงกว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่ให้บริการสินค้าที่ใกล้เคียงกัน

ความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูงและจากการขึ้นลงของราคาสินค้าวัตถุดิบ

อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากลักษณะของอุตสาหกรรมที่เป็นวงจรขึ้นลงเนื่องจากความต้องการสินค้าเหล็กนั้นอิงกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและการผลิตซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2557-2561 อัตราการเติบโตของการบริโภคเหล็กในประเทศมีการแกว่งตัวอย่างมากโดยอยู่ระหว่าง -14% ถึง 15% ต่อปี อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของการบริโภคโดยเฉลี่ยนั้นยังถือว่าทรงตัว

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงของราคาเหล็กอีกด้วยถึงแม้ว่าประวัติการดำเนินงานของบริษัทจะพิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัทมีความอ่อนไหวต่อราคาของเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่น้อยกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ก็ตาม การเพิ่มขึ้นหรือลดลงที่รวดเร็วของราคาอาจสร้างผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงปี 2557-2561 EBITDA ของบริษัทมีความผันผวน โดยเพิ่มขึ้นจาก 650 ล้านบาทในปี 2557 สู่สูงสุดที่ 1,350 ล้านบาทในปี 2559 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 770 ล้านบาทในปี 2561 นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับความเสี่ยงจากผู้ขายวัตถุดิบเนื่องจากในประเทศมีผู้จำหน่ายเหล็ก แผ่นรีดร้อนชนิดม้วนรายใหญ่เพียง 3 รายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้บางส่วนโดยการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากผู้ค้าที่อยู่ในต่างประเทศ

การแข่งขันที่ทวีความรุนแรง

ปัจจุบันตลาดเหล็กยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงในขณะที่อุปทานยังคงมีส่วนเกิน อีกทั้งผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็กในประเทศยังเผชิญกับเหล็กนำเข้าที่มีราคาถูกและการแข่งขันด้านราคาที่มีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้อัตรากำไร EBITDA ของบริษัทลดต่ำลงเหลือเพียง 4.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งต่ำกว่าอัตรากำไร EBITDA เฉลี่ยที่ระดับ 6.6% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากกำลังการผลิตที่เพิ่งขยายเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าแผนในการเพิ่มยอดขายโดยมีเป้าหมายที่ 1 ล้านตันต่อปีของบริษัทอาจจะส่งผลทำให้การแข่งขันด้านราคาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของอัตรากำไรได้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งทำการปรับการเติบโตของยอดขายของบริษัทให้เหลือ 3%-5% ต่อปีในช่วงปี 2562-2565 ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ในขณะที่อัตรากำไร EBITDA คาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 4%-5% ในช่วงเวลาดังกล่าว

สถานะทางการเงินค่อยๆปรับตัวดีขึ้น

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองต่อสถานะทางการเงินของบริษัทว่าจะปรับตัวดีขึ้นแต่จะอยู่ในอัตราที่ช้ากว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดย EBITDA ของบริษัทคาดว่าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นโดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่มากขึ้น ในขณะที่หนี้สินทางเงินก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการขยายโรงงานของบริษัทได้เสร็จสิ้นไปแล้วในปี 2562 นอกจากนี้ เงินลงทุนที่บริษัทวางแผนไว้ในช่วง 3 ปีข้างหน้านั้นก็ลดลงอย่างมากเหลือเพียงประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปี

จากการคาดการณ์กรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง ในระหว่างปี 2562-2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA นั้นคาดว่าจะลดลงเหลือ 5-5.5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็น 13%-16% ความเสี่ยงด้านลบอาจเกิดจาก การปรับตัวลดลงของราคาเหล็กหรือการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจนทำให้อัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้

มีสภาพคล่องเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทนั้นจะยังคงมีเพียงพอในอีก 12 เดือนข้างหน้า ความต้องการด้านสภาพคล่องของบริษัทนั้นจะมาจากหนี้สินระยะสั้นที่จะครบกำหนด ในขณะที่บริษัทมีลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง และวงเงินเครดิตที่ยังไม่ได้เบิกที่สามารถครอบคลุมหนี้สินระยะสั้นดังกล่าวได้ บริษัทยังคงสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ได้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนอยู่ที่ประมาณ 1.64 เท่าในเดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งยังต่ำกว่าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 2 เท่า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

• ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 3%-5% ในช่วงปี 2562-2565

• อัตรากำไร EBITDA จะอยู่ในช่วง 4%-5%

• เงินลงทุนจะอยู่ที่จำนวนประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2565

• อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 90%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าคู่แข่งเอาไว้ได้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงจัดการเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทได้อย่างรอบคอบและจะยังคงระเบียบวินัยในการตั้งราคาสินค้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางการตลาดของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการขยายกำลังการผลิตหรือหากฐานกระแสเงินสดของบริษัทมีการขยายเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับปัจจุบันอย่างยั่งยืน อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลประกอบการต่ำกว่าประมาณการและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงิน แรงกดดันด้านลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการลงทุนที่มีภาระหนี้สูงหรือความต้องการเหล็กในประเทศที่ลดลงเป็นระยะเวลายาวนาน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) (TMT)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ