ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (FPHT หรือผู้ออกหุ้นกู้) ที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยหุ้นกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการออกหุ้นกู้วงเงินรวม 2.5 หมื่นล้านบาทของบริษัทและหุ้นกู้ทั้งหมดได้รับการค้ำประกันโดย Frasers Property Ltd. (FPL หรือผู้ค้ำประกัน) โดยFPHT เป็นบริษัทลูกของ FPL ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกัน (FPL อันดับเครดิต “AA-/Stable” โดยทริสเรทติ้ง)
ภายใต้สัญญาค้ำประกัน FPL จะให้การค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้สำหรับหุ้นกู้ทั้งจำนวนซึ่งรวมถึงเงินต้น ตลอดจนหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หุ้นกู้มีการค้ำประกันดังกล่าวจะได้รับการจัดชั้นให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าหนี้ที่ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่น ๆ ของ FPL และสัญญาค้ำประกันจะอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศสิงคโปร์
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ FPL โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนการกระจายตัวทั้งในแง่ของประเภทธุรกิจและทำเลที่ตั้ง ฐานรายได้จากสินทรัพย์ให้เช่าที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งการบริหารจัดการเงินทุนที่มีประสิทธิภาพของ FPL อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงของบริษัทอันเป็นผลจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า
FPL เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบบูรณาการครบวงจร (Integrated Real Estate Company) บริษัทจดทะเบียนบนกระดานหลักในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX-ST) ในปี 2557 โดยมีกลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น หรือ TCC Group เป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วนรวมประมาณ 87% บริษัทมีหน่วยธุรกิจเชิงกลยุทธ์จำนวน 4 หน่วยหลัก ได้แก่ ธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ ธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย ธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและบริการ (Hospitality) และส่วนธุรกิจต่างประเทศ โดยธุรกิจทั้งหมดของบริษัทครอบคลุมการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสเรสซิเดนซ์
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ธุรกิจมีการกระจายตัวดี
FPL มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการกระจายตัวของธุรกิจทั้งในส่วนของประเภท ทำเลที่ตั้ง และฐานลูกค้า รูปแบบธุรกิจของบริษัทประกอบไปด้วยธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ อันได้แก่ พื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่า สำนักงานให้เช่า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่า รวมทั้งธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสเรสซิเดนซ์
การผสมผสานกันระหว่างธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและเพื่อให้เช่าส่งผลดีต่อ FPL ทั้งในแง่ของความมั่นคงของกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไร ในขณะที่ความหลากหลายของทำเลทางธุรกิจก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการถดถอยของอุตสาหกรรมในกรณีที่สภาพตลาดในแต่ละประเทศไม่เอื้ออำนวยในบางช่วงเวลาด้วยเช่นกัน
แหล่งรายได้ของบริษัทมีการกระจายตัวที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของประเภทธุรกิจและทำเลที่บริษัทดำเนินธุรกิจ สำหรับปีบัญชี 2562 กำไรจากการดำเนินงานก่อนการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรม ภาษี และรายการพิเศษ (Profit Before Interest, Fair Value Change, Taxation, and Exceptional Items -- PBIT) มาจากสินทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าให้เช่าในสัดส่วน 75% และส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย PBIT จากธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ 29% ประเทศออสเตรเลีย 24% ประเทศจีน 19% ทวีปยุโรป 15% และธุรกิจในประเทศอื่น ๆ รวมกันอีก 13%
มีฐานรายได้จากสินทรัพย์ให้เช่า
การเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าอย่างต่อเนื่องช่วยสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัท และช่วยลดความผันผวนและการพึ่งพารายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยในรอบปีบัญชี 2562 สิ้นสุด ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทและบริษัทลูก Frasers Centrepoint Trust (FCT) ได้ซื้อหุ้นของบริษัท PGIM Real Estate AsiaRetail Fund Limited (PGIM ARF) รวมกัน 88% มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่งผลให้บริษัทกลายเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่านอกเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ PGIM ARF มีศูนย์การค้าให้เช่า 6 แห่ง และสำนักงานให้เช่า 1 แห่งในสิงคโปร์ และมีศูนย์การค้าให้เช่า 4 แห่งในมาเลเซีย ในรอบปีบัญชี 2562 FPL มีสินทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าในสัดส่วน 83% ของสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท (ประกอบด้วย ธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่า สำนักงานให้เช่า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่า รวมทั้งธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสเรสซิเดนซ์) คิดเป็นมูลค่ารวม 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์
สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2563 และ 4.7-5.2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2564-2565 โดยคาดว่าสินทรัพย์เพื่อให้เช่าจะสร้างรายได้ในระดับ 2.1-2.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยในปีบัญชี 2562 FPL มีรายได้ 3.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 1.25 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยกำไรที่ได้จากสินทรัพย์เพื่อเช่า คิดเป็นประมาณ 75% ของ EBITDA ซึ่งฐานรายได้ที่เข้มแข็งและสม่ำเสมอดังกล่าวช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทมีความผันผวนน้อยลง ซึ่งบริษัทจะรักษาระดับของ EBITDA จากสินทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าที่ 70%-75% โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่าและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เช่า ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA ปีละ 1.4-1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์และจะมีเงินทุนจากการดำเนินงาน (Funds from Operations -- FFO) ที่ระดับ 670-750 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2563-2565
รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยที่ลดลงในสิงคโปร์และออสเตรเลียได้รับการชดเชยบางส่วนจากรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทย
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์และออสเตรเลียจะชะลอลงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าจากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและค่าเงินออสเตรเลียที่อ่อนตัวลง ขณะที่รายได้จากการจากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์จะลดลงในปีบัญชี 2562 จากการที่บริษัทไม่มีโครงการที่สร้างเสร็จและรับรู้รายได้ บริษัทเพิ่งเปิดตัวโครงการ “Riviere” มูลค่าโครงการประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทมีรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังไม่รับรู้รายได้ประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการในประเทศออสเตรเลีย
การชะลอตัวลงของรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์และออสเตรเลียจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยภายใต้บริษัท Golden Land Property Development PLC (GOLD) ซึ่งถูกบริษัท Frasers Property (Thailand) PLC (FPT) ซึ่งเป็นบริษัทลูก ของ FPL ซื้อกิจการในรอบปีบัญชี 2562 ปัจจุบัน FPT ถือหุ้นใน GOLD 95% รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยของ GOLD คาดว่าจะอยู่ที่ 680-700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2563-2565 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทย จะช่วยรักษาระดับรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยที่ระดับ 1.8-2.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
ภาระหนี้อยู่ในระดับสูง
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของ FPL จะยังคงอยู่ในระดับสูงในปีบัญชี 2563-2565 จากการที่บริษัทยังต้องใช้เวลาในการเพิ่ม EBITDA จากสินทรัพย์ที่ซื้อเข้ามา ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของ FPL จะอยู่ในระดับ 10.5-12 เท่าในช่วงปีบัญชี 2563-2565 จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นรอบปีบัญชี 2562 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วและรวมภาระผูกพันการเช่าดำเนินงานและตราสารหนี้ที่ไม่กำหนดวันไถ่ถอนมูลค่ารวม 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 8.3 เท่าในปีบัญชี 2558 มาอยู่ที่ 13 เท่าในปีบัญชี 2562 ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่สูงในปี 2562 ที่สูงดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากการที่บริษัทเข้าซื้อกิจการของ PGIM ARF และ GOLD และได้มีการรวมงบแสดงฐานะการเงินของทั้ง 2 บริษัทเข้ามาทั้งหมด ขณะที่งบกำไรขาดทุนได้ถูกรวมเข้ามาเมื่อเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายของปีบัญชี 2562 ซึ่งถ้ามีการคำนวณโดยใช้ข้อมูลงบกำไรขาดทุนของทั้ง PGIM ARF และ GOLD ย้อนหลัง 12 เดือน จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ 11.7 เท่าในปีบัญชี 2562
ภาระหนี้ของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ที่อันดับเครดิตเดียวกัน บริษัทมีข้อจำกัดในการลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มเติม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาสมดุลระหว่างโอกาสในการเติบโต กับการบริหารจัดการด้านเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพเครดิตของบริษัท การขายสินทรัพย์และเพิ่มทุนบางส่วนผ่านทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts -- REITs) จะช่วยให้ระดับหนี้ของบริษัทลดลงได้อีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 12 เท่าเพื่อรักษาอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัท
การขายสินทรัพย์ (Asset Recycle) ช่วยรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้เป็นตามเป้าหมาย
บริษัทมีนโยบายที่จะรักษาระดับหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับ 0.8-1 เท่า บริษัทมีการบริหารเงินทุนและรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนผานการขายสินทรัพย์ที่มีรายได้ที่คงที่เข้าทรัสต์ฯ ที่บริษัทเป็นสปอนเซอร์และมีบริษัทย่อยเป็นผู้บริหารจัดการ (Manager) หรือขายให้กับบุคคลอื่น โดยทรัสต์ฯ 4 แห่ง ประกอบด้วย FCT ซึ่งลงทุนในธุรกิจพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่า Frasers Commercial Trust (FCOT) ซึ่งลงทุนในธุรกิจสำนักงานและพื้นที่ให้เช่า Frasers Logistics & Industrial Trust (FLT) ซึ่งลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ และ Frasers Hospitality Trust Frasers (FHT) ซึ่งลงทุนในโรงแรมและเซอร์วิสเรซสิเดนซ์
การขายสินทรัพย์ดังกล่าวจะช่วยให้ฐานะทางการเงินของ FPL ปรับตัวดีขึ้น เงินทุนจากการระดมทุนผ่านทรัสต์ฯ จะสนับสนุนโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ในขณะที่เงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์บางส่วนจะถูกนำไปใช้ลดหนี้ สำหรับปีบัญชี 2562 นั้น FPL ได้ขายการควบคุม 50% ใน Frasers Tower ให้กับบุคคลที่ 3 มูลค่ารวม 443 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ขายเงินลงทุน 1 ใน 3 ใน Waterway Point ให้ FCT มูลค่ารวม 241 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และสินทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม 13 แห่งมูลค่ารวม 521 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์เข้า FLT โดย FCT และ FLT ได้ทำการระดมทุนเพิ่มรวมกันจำนวน 693 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อใช้ซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า FPL จะมีสินทรัพย์ที่สามารถนำมาทยอยขายเข้าทรัสต์ฯ หรือขายให้แก่ผู้อื่นประมาณ 1.3-1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ การที่บริษัทน่าจะมีการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ อย่างต่อเนื่องทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังอยู่ในระดับดี โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วต่อเงินทุนจะอยู่ในระดับ 50% ในระหว่างปีบัญชี 2563-2565
สภาพคล่องที่ยังบริหารจัดการได้
ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทริสเรทติ้งประเมินว่า FPL จะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ประมาณ 600-700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ เรายังคาดว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนรวมประมาณ 0.8-1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และคาดว่าจะลงทุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 1-1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยแหล่งที่มาของเงินทุน ได้แก่ เงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณการอย่างน้อย 670 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปี รวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนกันยายน 2562 จำนวน 3.6 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกบางส่วน ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินทุนบางส่วนจากการเพิ่มทุนผ่านทรัสต์ฯ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าบริษัทมีความสามารถในการระดมทุนในตลาดทุนและจะได้รับการสนับสนุนจาก TCC Group ในกรณีที่มีความจำเป็นอีกด้วยเช่นกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• บริษัทจะมีรายได้จำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2563 และ 4.7-5.2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีบัญชี 2564-2565
• บริษัทจะมี EBITDA ปีละ 1.4-1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์และจะมี FFO ที่ระดับ 670-750 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2563-2565
• คาดว่าบริษัทจะลงทุนรวมประมาณ 0.8-1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2563-2565
• เงินลงทุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรวมคาดว่าประมาณ 1-1.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปีในปีบัญชี 2563-2565
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของ FPL และความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า FPL จะสามารถดำรงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอเอาไว้ได้ อีกทั้งจะมีความระมัดระวังในการบริหารความเสี่ยงทางการเงินเมื่อขยายธุรกิจ รวมทั้งลดหนี้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวด้านการเงินและเสริมให้คุณภาพเครดิตแข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตหุ้นกู้ของ FPHT จะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่ออันดับเครดิตของผู้ค้ำประกันคือ FPL มีการเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับลดอันดับเครดิต อาจเกิดขึ้นได้หาก FPL มีการลงทุนโดยการก่อหนี้เชิงรุกจนทำให้ฐานะการเงินอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ในระดับเกินกว่า 12 เท่าอย่างต่อเนื่อง โอกาสในการเพิ่มอันดับเครดิตของ FPL มีจำกัดในระยะใกล้เมื่อพิจารณาถึงฐานะการเงินของบริษัทในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ FPL จะปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและโครงสร้างหนี้สินปรับตัวดีขึ้นจนมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ต่ำกว่า 7 เท่าอย่างต่อเนื่องในขณะที่ผลการดำเนินงานไม่ถดถอยลงไปจากระดับปัจจุบัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (FPHT)
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินรวม 25,000 ล้านบาท:
- FPHT213A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 AA-
- FPHT228A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 AA-
- FPHT233A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA-
- FPHT24DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA-
- FPHT283A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
- FPHT288A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable