ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนปัจจัยความเสี่ยงของอุตสาหกรรมอีกหลายประการ เช่น วงจรของสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ความเสี่ยงจากโรคระบาด และการกีดกันทางการค้า อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายต่าง ๆ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และการจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทก็ช่วยลดความเสี่ยงลงได้บางส่วน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ฟื้นตัวจากภาวะอุปทานส่วนเกินในช่วงปี 2560-2561 การแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์อาฟริกาในสุกร (African Swine Fever -- ASF) ในหลายประเทศทำให้ปริมาณสุกรขาดแคลนและส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสุกรและไก่ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน
ราคาสุกรและไก่ที่เพิ่มขึ้นเมื่อประกอบกับราคาอาหารสัตว์ที่ลดลงได้ส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.0% จากระดับ -0.6% ในปี 2561 และระดับ 1.4% ในปี 2560 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.43 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ -237 ล้านบาทในปี 2561 และ 1.22 พันล้านบาทในปี 2560
ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทจะยังคงได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่บริหารจัดการได้ นอกจากนี้ การเติบโตของอุปสงค์ไก่ในตลาดส่งออก โดยเฉพาะการยกเลิกการห้ามนำเข้าของประเทศจีนน่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในตลาดส่งออกของบริษัทได้อีกด้วย ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 7.40-8.70 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2565 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 5.2%-5.9% ในช่วงปี 2562-2565 โดยที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 4.40 พันล้านบาทถึง 4.70 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน
ภาระหนี้ยังคงอยู่ในระดับที่สูง
ระดับหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผลประกอบการที่อ่อนแอลงและค่าใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยระดับหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นจาก 1.34 หมื่นล้านบาทในปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 2.80 หมื่นล้านบาทในปี 2561 และปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.46 หมื่นล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2562
กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทก็อ่อนแอลงจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงวงจรขาลงของอุตสาหกรรมสัตว์บก โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 6.9 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จากระดับ 1.4-3.3 เท่าในปี 2557-2559 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลง มาอยู่ที่ระดับ 7.5 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จากระดับ 10-19 เท่าในปี 2557-2559
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยบริษัทมีการวางแผนงบประมาณสำหรับการลงทุนจำนวน 2.50-4.50 พันล้านบาทต่อปี อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 65% ในช่วงปี 2562-2565 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 6-7 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับ 5-6 เท่า
เป็นผู้นำในภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทยมานานกว่า 50 ปีอีกทั้งยังเป็นผู้แปรรูปไก่รายใหญ่ในลำดับที่ 3 สำหรับตลาดภายในประเทศในปี 2561 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 12% อีกด้วย (อันดับที่ 1 คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (21%) และอันดับที่ 2 คือ บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (12%)) ทั้งนี้ จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยระบุว่าส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดไก่ส่งออกของบริษัทอยู่ที่ 8% ในระหว่างปี 2561 จนถึงครึ่งแรกของปี 2562
บริษัทยังเป็นผู้ผลิตเนื้อสุกรคุณภาพสูงระดับแนวหน้าในประเทศไทยอีกด้วยโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 8% ของการผลิตเนื้อสุกรในประเทศ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่มีกับ Sumitomo Corporation จากประเทศญี่ปุ่นช่วยให้บริษัทนำเทคโนโลยีการเลี้ยงสุกรแบบ SPF (Specific Pathogen Free) ซึ่งเป็นการเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรคและสารตกค้างมาใช้ตั้งแต่ปี 2536 ทำให้บริษัทสามารถส่งออกเนื้อสุกรผ่านทางบริษัทคู่ค้าหลักในราคาที่สูงขึ้นได้
ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ
บริษัทดำเนินธุรกิจไก่และสุกรแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ไปจนถึงการขยายพันธุ์ การเลี้ยง และการแปรรูป ในการนี้บริษัทมีทั้งการเลี้ยงสัตว์บกเองในฟาร์มและผ่านทางเกษตรพันธะสัญญา การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนในการผลิต อีกทั้งการดำเนินการแบบครบวงจรเต็มรูปแบบยังส่งผลให้สินค้าของบริษัทได้มาตรฐานสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับซึ่งทำให้สินค้าของบริษัทสามารถส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญอีกด้วย
บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารสัตว์ ไก่ สุกร และผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งความหลากหลายดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานของบริษัทลงได้บางส่วน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์ม และผลิตภัณฑ์อาหารคิดเป็นสัดส่วน 23% 58% และ 13% ของยอดขายรวมตามลำดับ
มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและสร้างตราสินค้าของตนเอง
บริษัทมีกลยุทธ์สำคัญที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและการสร้างตราสินค้าของตนเองเพื่อจะช่วยเพิ่มผลกำไรและลดผลกระทบบางส่วนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์จากฟาร์มซึ่งมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์ที่เป็นเพียงสินค้าจากปศุสัตว์สู่ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้ตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 13% ของยอดขายรวม ทั้งนี้ บริษัทมีแผนในการออกผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ ให้มากขึ้นในอนาคต
ผลจากความพยายามในการส่งเสริมการขายช่วยสนับสนุนการสร้างตราสินค้าของบริษัท ความตระหนักในตราสินค้าสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทเนื่องจากลูกค้ามักจะเลือกตราสินค้าที่ไว้วางใจได้มากกว่า สำหรับตลาดภายในประเทศนั้นบริษัทมีตราสินค้า 2 ตราคือ “เอสเพียว” (S-Pure) และ “เบทาโกร” (Betagro) โดยเอสเพียวเป็นตราสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ในขณะที่เบทาโกรเป็นตราสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์มาตรฐาน
สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทจะมีหุ้นกู้จำนวน 2.50 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระและงบเพื่อการลงทุนอีกจำนวน 3.50 พันล้านบาท ส่วนแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3.60 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีกประมาณ 9.00 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งภายในและภายนอกได้ ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทสามารถเพิ่มทุนได้ในปี 2557 และปี 2561 รวมทั้งการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อชำระคืนหุ้นกู้เดิมได้ในระหว่างปี 2560-2561 แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวงจรขาลงของอุตสาหกรรมสัตว์บกก็ตาม
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• บริษัทได้นำมาตรฐานทางบัญชีแบบใหม่มาปรับใช้กับวิธีการรับรู้รายได้โดยจะไม่รวมรายได้จากเกษตรพันธะสัญญาซึ่งจะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ดังนั้นอัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทในปี 2562 จึงคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ -11% แต่จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5%-7% ต่อปีในปี 2563-2565 อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับรายได้ที่ไม่รวมรายได้จากเกษตรพันธะสัญญาแล้ว อัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทในปี 2562 จะเพิ่มขึ้น 6%
• ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจนถึงระดับ 5%-6% ในปี 2562-2565 จากระดับ -0.6% ในปี 2561
• งบสำหรับการลงทุนขยายงานจะอยู่ที่ประมาณ 2.50-4.50 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2562-2565
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทยเอาไว้ได้ต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมาจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทตลอดจนสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้ในอนาคตอันใกล้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงาน ตลอดจนกระแสเงินสด และการชำระหนี้ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยใช้เงินกู้จำนวนมากจนอาจทำให้สถานะทางการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html