ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 27, 2019 18:55 —ทริส เรตติ้ง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

กระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากธุรกิจไฟฟ้า

อันดับเครดิตสะท้อนถึงเสถียรภาพของกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับจากธุรกิจไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทเป็นเจ้าของโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายแห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนในโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่งที่เป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานความร้อนร่วม

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานและผู้ซื้อไฟฟ้าเอกชนหลายแห่ง ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าแห่งประเทศเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) และผู้ซื้อไฟฟ้าหลายรายในประเทศญี่ปุ่น กระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นค่อนข้างคาดการณ์ได้เนื่องจากมีการตกลงอัตราค่าไฟฟ้าที่แน่นอนและมีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานค่อนข้างต่ำ โดยมีลักษณะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นแบบ Non-firm

ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้อยู่ในระดับประมาณการ P50 (หรือสามารถผลิตไฟฟ้าได้ในระดับความน่าจะเป็นที่ 50%)

ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าความร้อนร่วมของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวนรวม 270 เมกะวัตต์ ผลการดำเนินของโรงไฟฟ้าอยู่ในระดับพอใช้เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงนอกแผน

โครงสร้างเงินทุนแข็งแกร่งขึ้นหลังจากขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม

บริษัทได้ประกาศที่จะขายเงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งแรกในประเทศเวียดนามของบริษัท (Xuan Tho1 และ Xuan Tho2) โดยมีกำลังการผลิตรวม 99.2 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าประเทศเวียดนาม เป็นระยะเวลา 20 ปี และได้เริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ทั้งนี้บริษัทจะได้รับเงินจำนวน 1.26 พันล้านบาทจากการขายโรงไฟฟ้าดังกล่าว

ทริสเรทติ้งเชื่อว่ารายการขายเงินลงทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแรงขึ้นและผ่อนคลายจากข้อกำหนดทางอัตราส่วนการเงินมากขึ้นหลังจากรับรู้กำไรจากรายการดังกล่าวประมาณ 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเท่ากับ 75% ในปี 2562 และจะลดลงเหลือ 67% หลังจากธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อเงินทุนจะลดลงเหลือ 2.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ที่ 3.25 เท่า

นอกจากนี้ ธุรกรรมดังกล่าวยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องของบริษัทจากการที่บริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดภายใน 12 เดือนข้างหน้า จำนวนประมาณ 800 ล้านบาทอีกด้วย

เติบโตจากการขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศ

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าต่อไปหลังจากขายโรงไฟฟ้าแล้ว และจากการที่โอกาสการเติบโตในประเทศนั้นมีอย่างจำกัดจึงมีแนวโน้มว่าบริษัทจะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศเป็นหลัก โดยบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในเวียดนาม คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมเกือบ 400 เมกะวัตต์

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทมีแนวโน้มจะลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ติดตั้งบนพื้นดินเนื่องจากได้รับอัตราค่าไฟฟ้าที่ 8.5 เซ็นต์สหรัฐฯ ต่อหน่วยไฟฟ้า ซึ่งสูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าของโรงงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ปรับตัวลดลง ในประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะลงในโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 96 เมกะวัตต์โดยจะก่อสร้างในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งจะทำให้การผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามคิดเป็นเกือบ 40% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท ในประมาณการกรณีพื้นฐาน บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณ 700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 และเพิ่มขึ้นเป็น 1,100 ล้านบาทในปี 2565 ขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 220-270 ล้านบาทต่อปีในปี 2563-2564 และเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านบาทในปี 2565

ความเสี่ยงในการดำเนินงานของโครงการในต่างประเทศ

ถึงแม้ว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามได้ภายในกำหนดระยะเวลาอันสั้น แต่ทริสเรทติ้งเห็นว่าโรงไฟฟ้าพลังงานลมมีความเสี่ยงด้านการก่อสร้างมากกว่าเนื่องจากมีความซับซ้อนมากกว่าในการเลือกเทคโนโลยีที่ใช้และการออกแบบโครงการ ยิ่งไปกว่านั้นโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังมีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานมากกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกด้วย

นอกจากนี้ กลยุทธ์ในการเติบโตอาจทำให้บริษัทต้องดำเนินธุรกิจในประเทศที่มีความเสี่ยงมากกว่าปัจจุบัน ถึงแม้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศเวียดนามจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและภาครัฐให้การสนับสนุนแต่โรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามก็ยังคงมีความเสี่ยงในหลายๆด้าน เช่น ความเสี่ยงด้านกฎหมาย ความเสี่ยงจากการบังคับใช้สัญญา และความเสี่ยงจากการไม่ซื้อไฟฟ้าเต็มจำนวนที่ผลิตได้ (Curtailment Risks) นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงในระดับสูงเรื่องคู่สัญญาเนื่องจาก

ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าการไฟฟ้าเวียดนามนั้นไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้รับซื้อไฟฟ้าที่เป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศไทย

ภาระหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้น

แม้ว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะลดลงหลังจากขายโครงการในเวียดนามไปแล้ว แต่ทริสเรทติ้งเห็นว่าเป็นการลดลงชั่วคราว เนื่องจากบริษัทจะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติม ในประมาณการกรณีพื้นฐานในช่วงปี 2563-2565 ทริสเรทติ้งตั้งสมมุติฐานว่าบริษัทจะได้รับเครดิตจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการในช่วงก่อสร้างและเครดิตดังกล่าวจะถูกทดแทนด้วยเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 1 ปีหลังจากโครงการเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์แล้ว โดยการได้รับเครดิตจากผู้รับเหมาก่อสร้างจะช่วยลดภาระหนี้สินของบริษัทในช่วงที่กำลังก่อสร้างโครงการ ในประมาณการกรณีพื้นฐาน บริษัทมีหนี้สินทางการเงิน 7 พันล้านบาทในปี 2563-2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 เมื่อบริษัททดแทนเครดิตจากผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนลดลงไปที่ 65%-67% ในระหว่างปี 2563-2564 และเพิ่มขึ้นเป็น 72% ในปี 2565 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จะสูงสุดที่ 10.1 เท่าในช่วงปี 2563-2565 ขณะที่ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 3%-5%

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงภาระหนี้สินอยู่ในระดับที่กล่าวมาในช่วงขยายกำลังการผลิต หากบริษัทจะขยายกำลังการผลิตมากกว่าที่ประมาณการเราคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงระดับภาระหนี้สินดังเดิมและใช้เงินทุนมาจากแหล่งอื่น เช่น การเพิ่มทุน หรือการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไป

สภาพคล่องตึงตัว

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความเสี่ยงในการหาแหล่งเงินทดแทน เนื่องจากโครงการในประเทศญี่ปุ่นบางแห่งของบริษัทนั้นใช้แหล่งเงินกู้ที่มีระยะเวลาต้องคืนเงินกู้ทั้งจำนวนภายใน 3 ปีครึ่ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับลักษณะของโครงการระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทยังระดมทุนบางส่วนด้วยการกู้ยืมเงินระยะสั้นจากบริษัทแม่เพื่อนำมาลงทุนในระยะยาว

สภาพคล่องของบริษัทจึงค่อนข้างตึงตัว ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระหนี้สินระยะยาวที่ครบกำหนดซึ่งรวมถึงหุ้นกู้จำนวนประมาณ 800 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 220 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทอาจจะต้องหาแหล่งเงินทดแทนภาระชำระคืนที่ถึงกำหนด อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากการขายโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้บริษัทและช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการหาแหล่งเงินทดแทนของบริษัทได้

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

• กำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงาน จะเพิ่มขึ้นเป็น 171 เมกะวัตต์ใน 3 ปีข้างหน้า

• รายได้จากการดำเนินงานทั้งหมดประมาณปีละ 0.86-1.48 พันล้านบาทในช่วงปี 2563-2565

• กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณ 700 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2563-2564 และเท่ากับ 1.1 พันล้านบาทในปี 2565

• ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนจำนวน 4.9 พันล้านบาทในปี 2563-2564

• บริษัทได้รับเครดิตจากผู้รับเหมาก่อสร้างในการก่อสร้างโครงการใหม่ในประเทศเวียดนาม

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจต่อไป และยังคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการใหม่และสร้างกระแสเงินสดได้ตามแผนขณะที่ยังรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนได้ในระดับที่คาด นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างระมัดระวังอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าดีกว่าคาดเป็นอย่างมาก ในทางกลับกันอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาดหรือบริษัทก่อหนี้ขนาดใหญ่เพื่อลงทุน

ภายใต้ Group Rating Methodology ของทริสเรทติ้ง อันดับเครดิตของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) ที่มีอันดับเครดิตองค์กร “BBB-/Stable” การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีผลต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2562 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ