ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจอ้อยและน้ำตาล ตลอดจนการมีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย และการมีนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีขนาดค่อนข้างเล็กและความผันผวนจากน้ำตาลซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลงานเป็นที่ยอมรับอย่างยาวนาน
จุดแข็งของบริษัทเกิดจากประสบการณ์ที่ยาวนานมากกว่า 60 ปีในอุตสาหกรรมน้ำตาล ทั้งนี้ ในปี2561 บริษัทมียอดขายน้ำตาลส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 90% ของยอดขายน้ำตาลทั้งหมด โดยลูกค้าน้ำตาลส่งออกของบริษัทคือกลุ่มผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศ
ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ น้ำตาลทรายดิบคุณภาพสูง (Very High Polarization Sugar -- VHP) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในโรงงานน้ำตาลเพียง 8 แห่งที่ได้รับใบรับรองมาตรฐาน Bonsucro อีกด้วย ทั้งนี้ น้ำตาลที่มีคุณภาพสูงช่วยทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นอีกทั้งยังช่วยดึงดูดลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
ความได้เปรียบของที่ตั้งโรงงาน
อ้อยเป็นวัตถุดิบหลักในการใช้ผลิตน้ำตาล อ้อยปลูกได้ดีในที่มีอากาศเย็นในเขตภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย สำหรับในภาคตะวันออกนั้น บริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ส่วนโรงงานผลิตน้ำตาลอื่น ๆ นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว บริษัทจึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นเพื่อให้ได้วัตถุดิบอ้อยที่เพียงพอเพื่อป้อนโรงงาน นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกรชาวไร่อ้อยอีกด้วย บริษัทให้การสนับสนุนชาวไร่อ้อยอย่างครบวงจรทั้งด้วยการให้เงินสดล่วงหน้าและสนับสนุนปุ๋ย รวมไปถึงการพัฒนาวิธีปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพ การใช้ระบบชลประทานที่ก้าวหน้า ตลอดจนการสนับสนุนพันธุ์อ้อยและเครื่องมือในการเก็บเกี่ยว
มีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย
บริษัทได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอ้อยและน้ำตาล เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจผลิตเอทานอลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อยอีกด้วย
บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าโดยรวมที่ขนาด 123.6 เมกะวัตต์ บริษัทใช้กากอ้อยจากกระบวนการผลิตน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพในการผลิตไฟฟ้า บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าที่ขนาด 40 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) ในขณะที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รับซื้อไฟฟ้าที่ขนาด 11 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP)
บริษัทมีกำลังการผลิตเอทานอลมากถึง 150,000 ลิตรต่อวันและมีลูกค้าเป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันรายใหญ่ในประเทศ
รายได้จากธุรกิจในกลุ่มพลังงานทั้งในส่วนของธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและ ณ ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสัดส่วนที่สำคัญของรายได้รวมของบริษัท ในปี 2561 ธุรกิจในกลุ่มพลังงานมีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 24% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท โดยรายได้ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจน้ำตาล
คาดว่ารายได้และอัตรากำไรจะปรับตัวลดลง
บริษัทมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างมั่นคงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำตาลและปริมาณผลผลิตอ้อยก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดรับที่คงที่จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และ กฟภ. บริษัทมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 15%-19% ในช่วงระหว่างปี 2557-2561
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์อุปทานส่วนเกินของน้ำตาลในตลาดโลกทำให้ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงในช่วงปี 2562-2563 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้น่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 15% ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 15%
ภาระหนี้และกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้อยู่ในระดับปานกลาง
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินการลงทุนในส่วนของโรงงานใหม่และการเพิ่มกำลังการผลิตไปแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีแผนการลงทุนที่ระดับต่ำกว่า 1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระยะ 3 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนหลัก ๆ จะใช้ไปในการพัฒนาการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ การติดตั้งระบบซอฟแวร์ใหม่ และการซื้อเครื่องมือในการเก็บเกี่ยวอ้อย ในการนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 60% โดย ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 57%
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% ตลอดช่วงระยะ 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะอยู่ในช่วง 4-7 เท่าในระหว่างปี 2562-2564
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• รายได้ในปี 2562 คาดว่าจะลดลง 5% และจะลดลงอีกเล็กน้อยในปี 2563 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2564
• การปรับปรุงกระบวนการผลิตจะทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นโดยลำดับ จากระดับ 12% เป็น 18% ระหว่างปีประมาณการ
• งบลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 1 พันล้านบาทในปี 2562 และ 700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563 และปี 2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทยเอาไว้ได้ ในขณะที่รายได้จากธุรกิจในกลุ่มพลังงานจะเป็นทุนสำรองที่ช่วยลดความผันผวนของวงจรขาลงในธุรกิจผลิตน้ำตาลได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจและสม่ำเสมอในขณะที่ยังสามารถรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในสัดส่วนที่ยอมรับได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากอัตรากำไรและรายได้ของบริษัทลดลงกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ นอกจากนี้ การลงทุนเชิงรุกที่ทำให้เกิดภาระหนี้จำนวนมากจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นก็อาจเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) (ESC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable