ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ตลอดจนเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม และกำไรที่เติบโตอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนโดยระดับหนี้สินที่สูง รวมถึงความอ่อนไหวต่อการแทรกแซงราคาน้ำมันจากภาครัฐ และการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
เครือข่ายสถานีบริการ “PT” ของบริษัทที่เติบโตขึ้นช่วยทำให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 2,027 แห่ง ณ สิ้นปี 2562 เพิ่มขึ้นจาก 1,883 แห่ง ณ สิ้นปี 2561 ทั้งนี้ บริษัทมีจำนวนสถานีบริการมากเป็นอันดับ 2 รองจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)
ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านช่องทางค้าปลีกของบริษัทเติบโตขึ้น 18% จากปีก่อนโดยอยู่ที่ 4.39 พันล้านลิตรในปี 2562 ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านช่องทางค้าปลีกในภาพรวมของประเทศไทยเติบโตเพียงประมาณ 5% ทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดของปริมาณการค้าปลีกน้ำมันเติบโตขึ้นที่ระดับ 14.1% ในปี 2562 จากระดับ 12.7% ในปี 2561 (ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยทริสเรทติ้ง)
บริษัทเองก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นเช่นกันในตลาดค้าปลีกน้ำมันในเขตเมืองอันเป็นผลมาจากการที่บริษัทเน้นขยายสถานีบริการน้ำมันมากขึ้นทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทและยังสร้างโอกาสให้บริษัทจำหน่ายสินค้าและให้บริการอื่นนอกเหนือจากน้ำมัน เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และบริการบำรุงรักษารถยนต์ได้มากขึ้นอีกด้วย บริษัทมีแผนจะดำเนินกลยุทธ์เน้นการขยายสถานีบริการน้ำมันในเขตเมืองมากยิ่งขึ้นต่อไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการรับรู้ตราสินค้าของบริษัทในกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงในเขตเมืองให้เพิ่มขึ้น
บริษัทยังมีระบบสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนและรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ภายใต้ชื่อ “PT Max Card” ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของบริษัทด้วย โดยจำนวนสมาชิกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 12.6 ล้านราย ณ สิ้นปี 2562 จาก 10.2 ล้านราย ณ สิ้นปี 2561 รายได้จากสมาชิก PT Max Card มีสัดส่วนคิดเป็น 73% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปี 2562 ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าระบบสมาชิก PT Max Card จะช่วยรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้แก่บริษัทต่อไปในอนาคต
ผลกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
บริษัทขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันโดยรวมที่ผ่านทุกช่องทางของบริษัทเติบโตขึ้นเป็น 4.68 พันล้านลิตรในปี 2562 ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน
บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้น 11% เป็น 1.2 แสนล้านบาทและมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเติบโตขึ้นที่ระดับ 44% หรือคิดเป็น 6.34 พันล้านบาทในปี 2562 อันเนื่องมาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เติบโตขึ้นและค่าการตลาดที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปจากการขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งคาดการณ์แบบอนุรักษ์นิยมว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของบริษัทจะเติบโตขึ้นประมาณ 6%-7% ต่อปีและประมาณการค่าการตลาดในภาพรวมของบริษัทแบบอนุรักษ์นิยมที่ระดับประมาณ 1.70 บาทต่อลิตร ทำให้คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5.9-6.2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565
ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-oil) เติบโตขึ้นแต่ยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อย
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการขยายธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน หรือ Non-oil มากขึ้น เช่น ร้านสะดวกซื้อ “Max Mart” ร้านกาแฟ “พันธุ์ไทย” และร้านกาแฟ “Coffee World” เป็นต้น โดยธุรกิจ Non-oil เหล่านี้ (ไม่รวมธุรกิจก๊าซ LPG) มีสัดส่วนคิดเป็น 2% ของรายได้รวมและ 7.8% ของกำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 2562 โดยเพิ่มขึ้นจาก 1% และ 2.3% ในปี 2558 ตามลำดับ
บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-oil ให้เป็น 20% ทริสเรทติ้งเชื่อว่าหากบริษัททำได้สำเร็จก็จะช่วยลดความเสี่ยงของบริษัทที่เกิดจากความผันผวนของราคาน้ำมันและยังช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันธุรกิจ Non-oil ยังมีขนาดเล็กและมีความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากบางธุรกิจยังไม่ผ่านจุดคุ้มทุนในการดำเนินงาน ดังนั้น ความสำเร็จในภาพรวมของธุรกิจนี้จึงยังคงต้องติดตามต่อไป
นอกจากธุรกิจ Non-oil ของบริษัทเองแล้ว บริษัทยังได้ลงทุนโดยถือหุ้น 40% ใน “โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร” ซึ่งมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล B100 ที่ระดับ 5 แสนลิตรต่อวัน โครงการได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ช่วงปี 2561 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างปี 2561-2562 โครงการใช้กำลังการผลิตในระดับที่ค่อนข้างต่ำและมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทำงานได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น จนกระทั่งในช่วงปลายปี 2562 โครงการจึงสามารถดำเนินการโดยใช้กำลังการผลิตในระดับสูงได้ ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้มากขึ้น จึงคาดว่าอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันไบโอดีเซล B100 จะมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นที่คาดว่าโครงการปาล์มน้ำมันครบวงจรจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในช่วงปี 2563-2565
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และการแข่งขันที่รุนแรง
ทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 จะส่งผลกดดันต่อยอดขายของบริษัทในระยะสั้น การแพร่ระบาดที่ส่งผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยบางส่วนนั้นอาจจะกดดันการเติบโตของการบริโภคน้ำมันของประเทศในภาพรวมในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการบริโภคน้ำมันจะกลับมาเติบโตในระดับปกติอีกครั้งในปี 2564 ในระยะปานกลางทริสเรทติ้งมองว่าปริมาณการบริโภคน้ำมันของประเทศไทยอาจจะทรงตัวหรือเติบโตในระดับต่ำจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าลงของประเทศ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาปริมาณการบริโภคน้ำมันในภาพรวมของไทยเติบโตในระดับเฉลี่ยเพียงปีละ 3%
นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันภายในประเทศอีกด้วยดังจะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันจำนวนมากยังคงขยายสถานีบริการน้ำมันและจัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อหวังจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด การปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันเป็นแนวโน้มที่เป็นที่นิยมของผู้ประกอบการในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการมีการลงทุนเป็นอย่างมากในการปรับปรุงคุณภาพสถานีบริการอีกทั้งยังทำการเพิ่มสินค้าและบริการอื่นนอกเหนือจากน้ำมันในสถานีบริการของตนอีกด้วย
ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันและการแทรกแซงจากภาครัฐ
ทริสเรทติ้งมองว่าความผันผวนเป็นอย่างมากของราคาน้ำมันเป็นหนึ่งในความเสี่ยงของบริษัทซึ่งอาจจะกระทบต่อผลการดำเนินงานในระยะสั้นของบริษัทได้ ตัวอย่างเช่นในกรณีที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็วนั้นก็อาจทำให้ค่าการตลาดของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างหนักด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ากรณีดังกล่าวจะมีผลกระทบเพียงชั่วคราวในระยะสั้น อีกทั้งบริษัทยังมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยจำกัดการขาดทุนของสินค้าคงคลังลงได้ในกรณีที่ราคาน้ำมันมีความผันผวน
บริษัทยังมีความอ่อนไหวจากการถูกแทรกแซงราคาน้ำมันโดยภาครัฐซึ่งอาจกดดันค่าการตลาดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นในช่วงกลางปี 2561 ที่ผ่านมาเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสั้น ๆ ภาครัฐได้ออกมาตรการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตรเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำมันดีเซล ทำให้ค่าการตลาดของบริษัทได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นเนื่องจากบริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในสัดส่วนที่สูงถึง 71% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมของบริษัทในปีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่ภาครัฐจะตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงอย่างมากจนมาอยู่ที่ระดับ 30-40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากระดับประมาณ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอกาสดังกล่าวจะเกิดได้น้อยในปัจจุบัน แต่ทริสเรทติ้งก็ยังมองว่าบริษัทยังคงมีความเสี่ยงจากการแทรกแซงจากภาครัฐอยู่
คาดว่าระดับหนี้สินจะปรับตัวสูงขึ้น
อันดับเครดิตของบริษัทยังคงลดทอนลงจากระดับหนี้สินที่สูงซึ่งเป็นผลมาจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุนโดยเฉลี่ยปีละ 4.4 พันล้านบาทในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาโดยใช้ไปในการขยายสถานีบริการน้ำมันและการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ เช่น โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ เป็นต้น ทำให้บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.86 หมื่นล้านบาทในปี 2562 จาก 3.9 พันล้านบาทในปี 2558 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 74% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 2.9 เท่าในปี 2562
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคตโดยที่ระดับหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะลงทุนประมาณ 4.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าซึ่งจะเน้นไปที่การขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันเป็นหลัก ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 75% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 3.5-3.7 เท่าในช่วงปี 2563-2565
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่จัดการได้
บริษัทมีกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 26.9% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6.5 เท่าในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าระหว่างปี 2563-2565 บริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ประมาณ 4.5-4.7 พันล้านบาทต่อปี อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 20%-22% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 5 เท่า
บริษัทมีเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและหุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดชำระรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.4 พันล้านบาทในปี 2563 โดยบริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 และเงินทุนจากการดำเนินงานในอีก 12 เดือนข้างหน้าซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจำเป็นจะต้องจัดหาเงินกู้เพื่อทดแทนหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระเกือบทั้งหมดให้ได้เนื่องจากบริษัทจะยังคงมีการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงในการหาเงินกู้ทดแทนอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
• ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะเติบโตประมาณ 6%-7% ต่อปีจากการขยายสถานีบริการน้ำมัน
• ราคาจำหน่ายน้ำมันจะลดลงประมาณ 10% ในปี 2563 และจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ในปี 2564
• รายได้จะปรับตัวลดลง 4% ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2564 และ 7% ในปี 2565
• ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันโดยรวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.70 บาทต่อลิตร
• เงินลงทุนจะอยู่ที่ 4.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2563-2565
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโนมอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้และบริษัทจะมีความระมัดระวังในการขยายธุรกิจซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ระดับประมาณ 75% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่ำกว่า 4 เท่าได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีโอกาสเกิดขึ้นไม่มากนักในระยะเวลาอันใกล้เนื่องระดับหนี้ที่สูงของบริษัท ในขณะที่อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุนหรือหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable