บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดเดิมของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A-" ในขณะเดียวกันได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันใหม่ 2 ชุดของบริษัทในวงเงินรวมกันไม่เกิน 2,500 ล้านบาทที่ระดับ "A-" พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Stable" หรือ "คงที่" จากเดิม "Positive" หรือ "บวก" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนความสามารถของคณะผู้บริหาร ตลอดจนระบบการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถรักษาสถานภาพผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต รวมทั้งนโยบายในการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเจ้าของกิจการ อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกจำกัดบางส่วนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการซึ่งอาจมีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
ในขณะที่ แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพผู้นำทางการตลาดในธุรกิจบัตรเครดิตแม้ว่าจะมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในธุรกิจของบริษัทก็ตาม โดยที่ยังสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในส่วนของผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ของบริษัทคือสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเจ้าของกิจการ ทั้งนี้ ฐานะทุนที่แข็งแกร่งและระบบการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงที่ดีคาดว่าจะช่วยบริษัทลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 12% ณ เดือนมิถุนายน 2548 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ได้แก่ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น การกำหนดเพดานดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อัตราดอกเบี้ยในตลาดที่เพิ่มขึ้น การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นล้วนมีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 ยอดคงค้างสินเชื่อรวมของบริษัทมีจำนวน 26,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จาก 21,747 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2547 ซึ่งบ่งบอกอัตราขยายตัวที่ชะลอตัวลงจากอัตรา 63% ในปี 2547 เทียบกับปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 2548 จำนวน 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตรา 8% จาก 303 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่า 61% สำหรับทั้งปี 2547 เทียบกับปี 2546
ทริสเรทติ้งจะติดตามการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอย่างใกล้ชิดหลังจากที่สินเชื่อค้างชำระ (ค้างชำระเกิน 90 วัน) ของบริษัทมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 3.20% ของสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ย ณ เดือนธันวาคม 2547 จาก 2.22% ในปี 2546 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 2.78% ณ เดือนมิถุนายน 2548 เนื่องจากจากการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเจ้าของกิจการ -- จบ
ในขณะที่ แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพผู้นำทางการตลาดในธุรกิจบัตรเครดิตแม้ว่าจะมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในธุรกิจของบริษัทก็ตาม โดยที่ยังสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในส่วนของผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ของบริษัทคือสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเจ้าของกิจการ ทั้งนี้ ฐานะทุนที่แข็งแกร่งและระบบการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงที่ดีคาดว่าจะช่วยบริษัทลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 12% ณ เดือนมิถุนายน 2548 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ได้แก่ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น การกำหนดเพดานดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อัตราดอกเบี้ยในตลาดที่เพิ่มขึ้น การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นล้วนมีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 ยอดคงค้างสินเชื่อรวมของบริษัทมีจำนวน 26,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จาก 21,747 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2547 ซึ่งบ่งบอกอัตราขยายตัวที่ชะลอตัวลงจากอัตรา 63% ในปี 2547 เทียบกับปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 2548 จำนวน 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตรา 8% จาก 303 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่า 61% สำหรับทั้งปี 2547 เทียบกับปี 2546
ทริสเรทติ้งจะติดตามการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอย่างใกล้ชิดหลังจากที่สินเชื่อค้างชำระ (ค้างชำระเกิน 90 วัน) ของบริษัทมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 3.20% ของสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ย ณ เดือนธันวาคม 2547 จาก 2.22% ในปี 2546 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 2.78% ณ เดือนมิถุนายน 2548 เนื่องจากจากการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเจ้าของกิจการ -- จบ