ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของธนาคารที่ระดับ “A” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการมีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย ตลอดจนเงินกองทุนที่เพียงพอซึ่งได้รับแรงหนุนจากความสามารถในการทำกำไรที่เข้มแข็ง และคุณภาพสินทรัพย์ที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่ธุรกิจธนาคารของธนาคารเกียรตินาคินมีขนาดค่อนข้างเล็กและธนาคารมีการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมและลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ในระดับค่อนข้างสูง ในระยะปานกลาง ธนาคารอาจเผชิญกับแรงกดดันจากการมีคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลงจากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยอันเกิดจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ในขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนด้านเครดิตก็อาจบรรเทาลงบางส่วนจากการมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบของธนาคารและมาตรการผ่อนปรนสำหรับลูกหนี้ของธนาคารเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ธุรกิจธนาคารมีขนาดเล็กแต่ธุรกิจตลาดทุนมีความแข็งแกร่ง
สถานะทางธุรกิจของธนาคารเกียรตินาคินสะท้อนถึงการมีธุรกิจธนาคารที่มีขนาดค่อนข้างเล็กซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจวาณิชธนกิจที่แข็งแกร่งภายใต้การบริหารงานของ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ บล. ภัทรมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจวาณิชธนกิจ รวมทั้งการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน และธุรกิจบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Banking) ที่กำลังเติบโต ส่วนธุรกิจด้านธนาคารหลัก ๆ ของธนาคารเกียรตินาคินนั้นประกอบด้วยธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงธุรกิจสินเชื่อสำหรับกลุ่มลูกค้าพาณิชยกรรมและธุรกิจขนาดใหญ่ โดยธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระดับปานกลางที่ 5.8% ณ สิ้นปี 2561 จากบรรดาผู้ประกอบการสินเชื่อรถยนต์ที่เป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อและเงินฝากรวมอยู่ที่ระดับ 1.9% และ 1.4% ตามลำดับ ณ สิ้นปี 2562
ทริสเรทติ้งคาดว่าการผสานพลังระหว่างธุรกิจในกลุ่มจะยังคงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนการเติบโตในธุรกิจหลักของธนาคารอันประกอบไปด้วยบริการสินเชื่อและบริการทางการเงินสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ ลูกค้าวาณิชธนกิจ รวมไปถึงการบริหารความมั่งคั่งและการให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อนแก่ลูกค้า Private Banking
แหล่งที่มาของรายได้มีความหลากหลาย
การพิจารณาอันดับเครดิตของธนาคารเกียรตินาคินนั้น ทริสเรทติ้งยังให้ความสำคัญกับแหล่งรายได้ที่หลากหลายซึ่งสร้างสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิต่อรายได้รวมที่ค่อนข้างเข้มแข็งที่ระดับ 25% ณ สิ้นปี 2562 รายได้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวประกอบด้วยค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักทรัพย์ นายหน้าขายประกัน การบริหารสินทรัพย์ และวาณิชธนกิจ ในความเห็นของทริสเรทติ้งมองว่าสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สำหรับกลุ่มลูกค้าสถาบัน รวมทั้งในธุรกิจวาณิชธนกิจและที่ปรึกษาทางการเงินของธนาคารมีศักยภาพที่จะสร้างผลประกอบการที่มั่นคงมากกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกันเหล่านี้ กระนั้นทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าธุรกิจธนาคารจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้แก่ธนาคารเกียรตินาคินในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้าอยู่เช่นเดิม โดยในปี 2562 ผลกำไรสุทธิจากธุรกิจธนาคารมีสัดส่วนถึง 72% ของผลกำไรสุทธิของธนาคารเกียรตินาคินในปี 2562 ตามมาด้วยธุรกิจตลาดทุน (17%) และธุรกิจบริหารหนี้เสีย (11%)
เงินกองทุนค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น
ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของของธนาคารว่าจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 14.5% ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าจากการบริหารเงินกองทุนที่มีความระมัดระวังและแนวโน้มการหดตัวของพอร์ตสินเชื่อในปี 2563 จากผลกระทบที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงอันเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทริสเรทติ้งประมาณการว่าพอร์ตสินเชื่อของธนาคารเกียรตินาคินจะหดตัวที่ระดับ 10% ในปี 2563 แล้วจะกลับมาเติบโตจากฐานที่ต่ำดังกล่าวในปีถัดไป
อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ณ สิ้นปี 2562 ของธนาคารเมื่อรวมกับผลกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 และอัตราส่วนเงินปันผลที่ระดับ 60% แล้วนั้นจะอยู่ที่ระดับ 13.9%-14.0% นอกจากนี้ ธนาคารอาจจะออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III เพื่อมาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมซึ่งมีมูลค่า 3 พันล้านบาทภายในสิ้นปี 2563 นี้
ผลกำไรอยู่ภายใต้ความท้าทาย
ธนาคารเกียรตินาคินมีความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยเมื่อวัดจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของธนาคารซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.94% ในปี 2562 โดยถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.2% อัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังหักต้นทุนทางเครดิตที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจบริหารหนี้เสียที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้ธนาคารคงความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูงได้และจะช่วยรองรับความสูญเสียทางเครดิตที่อาจเพิ่มสูงขึ้นได้ด้วย ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังหักต้นทุนทางเครดิตอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปี 2562 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.0%
ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารในกรณีพื้นฐานว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.4%-1.6% ในระหว่างปี 2563-2565 โดยได้พิจารณารวมไปถึงกรณีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์รายได้ในกลุ่มธุรกิจหลักทั้งหมดของธนาคารเกียรตินาคินว่าจะหดตัวในปี 2563 และหลังจากนั้นจะฟื้นตัวโดยเริ่มจากฐานที่ต่ำตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ต้นทุนทางเครดิตของธนาคารว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงระดับ 1.5%-1.7% ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลงในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
มีแรงกดดันต่อคุณภาพสินทรัพย์
ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารเกียรตินาคินจะเผชิญกับแรงกดดันด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมเพิ่มสูงขึ้นต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคาดว่ามาตรการผ่อนปรนของธนาคารที่มีให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะช่วยให้ธนาคารสามารถคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมให้อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 4.5% ณ สิ้นปี 2563 จากที่ระดับ 4.0% ณ สิ้นปี 2562
ในความเห็นของทริสเรทติ้ง คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่มีสัญญาณอ่อนแอลงในปี 2562 นั้นยังอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการได้ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมซึ่งไม่รวมหนี้เสียเดิมจากกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ 3 รายแรกและจากธุรกิจบริหารหนี้เสียเพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 2.9% ณ สิ้นปี 2562 จาก 2.8% ณ สิ้นปี 2561 ประเภทของสินเชื่อหลักที่มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นได้แก่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.5% ณ สิ้นปี 2562 จากระดับ 2.3% ณ สิ้นปี 2561 ธนาคารมีแผนจะลดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองที่ให้ผลตอบแทนต่ำและเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สัดส่วนของสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มสูงขึ้นนี้ลง สำหรับกลุ่มสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์นั้น อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างค่อนข้างชัดเจนในภาคการผลิต รวมถึงภาคสถานบริการและร้านอาหาร โดยทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีความเสี่ยงดังกล่าวในระดับไม่มากนักเนื่องจากธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเหล่านี้เมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมที่ระดับประมาณ 7% เท่านั้น ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งไม่รวมเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร
ในขณะเดียวกัน ธนาคารเกียรตินาคินยังคงลดสัดส่วนหนี้เสียจากกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเดิมอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพในลูกค้ากลุ่มนี้ลดลงสู่ระดับ 10.7% ณ สิ้นปี 2562 จากระดับ 13.5% ณ สิ้นปี 2561 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพแบบรวมงบการเงินของธนาคารซึ่งรวมหนี้เสียเดิมจากกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และจากธุรกิจบริหารหนี้เสียอยู่ที่ระดับ 4.0% ณ สิ้นปี 2562 โดยลดลงจากระดับ 4.1% ณ สิ้นปี 2561 และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.7%
การพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมและลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ยังอยู่ในระดับสูง
ธนาคารเกียรตินาคินยังคงพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมและลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ในระดับค่อนข้างสูง โดยแหล่งเงินทุนที่ไม่ใช่เงินฝากของธนาคาร ณ สิ้นปี 2562 มีสัดส่วน 31% ของแหล่งเงินทุนรวมของธนาคารซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับ 13% ในขณะที่สัดส่วนของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current Account and Savings Account – CASA) อยู่ที่ระดับ 38% ของเงินฝากรวม โดยยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 60% เป็นอย่างมาก ลักษณะดังกล่าวสะท้อนถึงธุรกิจเงินฝากที่มีขนาดเล็กและมีต้นทุนสูงซึ่งธนาคารต้องพึ่งพาจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงลูกค้าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และลูกค้าธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ส่งผลให้ธนาคารมีต้นทุนทางการเงินที่ระดับ 2.32% ในปี 2562 ซึ่งอยู่ในระดับสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในความเห็นของทริสเรทติ้ง กลยุทธ์ขยายฐานเงินฝากที่มีเสถียรภาพและต้นทุนต่ำของธนาคารถือเป็นพัฒนาการในเชิงบวก กลยุทธ์ดังกล่าวมุ่งเน้นส่งเสริมให้มีการเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อการลงทุนที่ให้ดอกเบี้ยสูงเหมือนเงินฝากประจำ (KK Phatra Smart Settlement -- KKPSS) สำหรับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง รวมไปถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝาก CASA และบริการบริหารเงินสดให้แก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจ โดยธนาคารมีความก้าวหน้าในการขยายเงินฝากดังกล่าวในช่วงปีที่ผ่านมา
สภาพคล่องเพียงพอ
ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารเกียรตินาคินจะยังดำรงสภาพคล่องให้เพียงพอต่อไปในช่วง 12 เดือนข้างหน้า อัตราส่วนสภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio -- LCR) ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 124% ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของทางการ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดเล็กที่ 158% และค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ 183% ณ สิ้นปี 2562 ตามตัวเลขในรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารเกียรตินาคินมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อเงินฝากรวมและเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารอยู่ที่ระดับ 32.2% ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอแม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ระดับประมาณ 40% ในช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม
อันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III
อันดับเครดิต “BBB+” สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 (KK25DA) ของธนาคารเกียรตินาคินสะท้อนความเสี่ยงในการด้อยสิทธิและความเสี่ยงในการไม่ได้รับการชำระหนี้ตามเงื่อนไขการรองรับผลขาดทุนเมื่อธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ตราสารดังกล่าวมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ Basel III และเป็นไปตามเกณฑ์ของ ธปท. ในการนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ทั้งนี้ ตราสารประเภทนี้มีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ไม่สามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ย และไม่สามารถแปลงสภาพได้ ธนาคารสามารถไถ่ถอนตราสารคืนทั้งจำนวนก่อนวันครบกำหนดได้อย่างน้อยภายหลังระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสารและได้รับความเห็นชอบจาก ธปท. แล้ว โดยผู้ถือตราสารประเภทนี้มีสิทธิที่ด้อยกว่าผู้ฝากเงินและผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของธนาคาร ทั้งนี้ ตราสารดังกล่าวสามารถตัดเป็นหนี้สูญได้ในกรณีที่หน่วยงานกำกับดูแลพิจารณาเห็นว่าธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคารภายใต้เงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ดังกล่าว
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับการดำเนินงานของธนาคารเกียรตินาคินในระหว่างปี 2563-2565 ดังนี้
• อัตราการเติบโตของสินเชื่อ: ระดับ -10% สำหรับปี 2563 และระดับ 3%-5% สำหรับปี 2564-2565
• ต้นทุนทางเครดิต: 1.5%-1.7%
• อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม: 4.1%-4.6%
• อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1: 14.0%-15.5%
• อัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิหลังหักต้นทุนทางเครดิต: 3.3%-3.4%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าธนาคารเกียรตินาคินจะยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุน พัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการผสานพลังกับธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้มากขึ้นซึ่งจะนำไปสู่ผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจะขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารเกียรตินาคินในการขยายธุรกิจธนาคารและ/หรือเพิ่มความสามารถในการระดมเงินจากแหล่งเงินทุนที่มีความมั่นคงได้ อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากเงินกองทุน รวมไปถึงคุณภาพสินทรัพย์ หรือสภาพคล่องอ่อนแอลงอย่างมีสาระสำคัญ นอกจากนี้ หากความสามารถในการทำกำไรของธนาคารลดลงอย่างมีนัยสำคัญอันเนื่องมาจากการมีคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลง หรือมีรายการขาดทุนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้คาดหมายจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนก็อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้เช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- Banks Rating Methodology, 3 March 2020
ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KK)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KK208A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A
KK212A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A
KK218A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A
KK25DA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable