ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A/Stable” อันดับเครดิตสะท้อนสถานะการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักสำคัญของกลุ่มเกียรตินาคินภัทร สถานะทางการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งและการกระจายตัวที่ดีของแหล่งรายได้ เงินทุนและความสามารถในการทำกำไรที่เพียงพอ ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่จำกัด แหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์จากธุรกิจการลงทุนด้วยบัญชีของบริษัท ซึ่งส่งผลต่อปัจจัยความเสี่ยง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
การเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าบริษัทเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญต่อกลุ่ม โดยบริษัทได้สร้างกำไรให้แก่กลุ่มในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญที่ 15% ในปี 2562 อีกทั้งในฐานะที่เป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและด้านการเงินจากธนาคารเกียรตินาคิน และสามารถขยายฐานลูกค้าโดยใช้ฐานลูกค้าของธนาคารได้ โดยเฉพาะฐานลูกค้านักลงทุนรายใหญ่ นอกจากนี้ ธนาคารเกียรตินาคินยังได้ให้วงเงินสินเชื่อจำนวนมากแก่บริษัท ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานของบริษัท
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
บริษัทยังคงมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในหลายธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพและมีชื่อเสียงในธุรกิจวาณิชธนกิจ ในช่วง 6เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในอันดับที่ 4 ด้วยส่วนแบ่งรายได้ 5.7% อีกทั้งบริษัทยังมีส่วนแบ่งรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจที่สูงที่สุดในคู่แข่งที่จัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของบริษัทก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยก่อให้เกิดรายได้ค่าธรรมเนียมแก่บริษัทอย่างสม่ำเสมอ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของบริษัทอยู่ที่ 575 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 21% จากปี 2561 และรายได้การเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 14% มาอยู่ที่ 552 ล้านบาทในปี 2562
โครงสร้างรายได้ที่กระจายตัว
บริษัทมีโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวดีซึ่งเกิดจากความสามารถในการสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งในแต่ละธุรกิจ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็น 45% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคิดเป็น 33% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 54% และ 14% ตามลำดับ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความหลากหลายในธุรกิจที่แข็งแกร่งเนื่องจากบริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านงานวิจัยและความครอบคลุมของฝ่ายการขายซึ่งช่วยรักษาฐานรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท อีกทั้ง ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการขยายผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายยังช่วยเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมอีกด้วย
เงินทุนที่เพียงพอและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนของบริษัทจะยังคงเพียงพอเพื่อรองรับการขาดทุนที่เหนือความคาดหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านเครดิต รวมถึงความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ และความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 12% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ที่ 12.2% ในปี 2562 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 28% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ระดับ 7%
ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าอัตราส่วนกาไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เทียบกับอัตราส่วนดังกล่าวเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) ที่ 2.8% และ 3.2% ในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้จากการพัฒนาธุรกิจจากความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น งานวิจัย ธุรกิจวาณิชธนกิจ และธุรกิจบริหารความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องและสร้างประโยชน์จากความร่วมมือกันระหว่างบริษัทย่อยในกลุ่มเกียรตินาคินภัทร อีกทั้งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำได้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิอยู่ที่ 53.0% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 72.2%
การได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านราคาของหลักทรัพย์เครดิตที่จำกัด
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางด้านเครดิตในระดับที่จำกัดเนื่องจากบริษัทไม่ได้ให้บริการเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ความเสี่ยงทางด้านเครดิตของบริษัทจำกัดอยู่ในความเสี่ยงจากลูกหนี้จากการให้บริการเป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์เท่านั้น ในมุมมองของทริสเรทติ้งความเสี่ยงดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์จำกัด
บริษัทมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์จากเงินลงทุนของบริษัทในระดับที่บริหารจัดการได้เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทจำกัดอยู่ในกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (กลยุทธ์อาร์บิทราจ) และไม่ผันผวนตามการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระบบการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมได้อย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยป้องกันการขาดทุนจากเงินลงทุนของบริษัท
การได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านราคาของหลักทรัพย์เครดิตที่จำกัด
ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าบริษัทมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอซึ่งวัดจากการประมาณการอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพที่ระดับประมาณ 140%-150% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับความต้องการในการใช้เงินทุนด้วยอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพที่ 152.6% ณ สิ้นปี 2562
อีกทั้ง ทริสเรทติ้งยังพิจารณาว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอในอีก 12 เดือนข้างหน้า ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งรวมทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาท นอกเหนือจากวงเงินสินเชื่อจากธนาคารเกียรตินาคิน โดยวงเงินสินเชื่อรวมเพียงพอสำหรับสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทและเพียงพอสำหรับรองรับภาวะการขาดสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่องของบริษัทจะอยู่ในระดับเพียงพอที่ประมาณ 1.2 เท่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่องเปรียบเทียบสินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินสด, เงินลงทุนในหลักทรัพย์) กับความต้องการในการใช้สภาพคล่อง (ภาระหนี้ระยะสั้น) อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2562 โดยอัตราส่วนที่ถือว่าอยู่ในระดับเพียงพอคือที่ระดับอย่างน้อย 1.0 เท่าตามเกณฑ์ของทริสเรทติ้ง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสาหรับบริษัทในระหว่างปี 2563-2565 มีดังนี้
• ส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะอยู่ที่ระดับประมาณ 10%
• อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.05%
• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดาเนินงานต่อรายได้สุทธิจะอยู่ที่ระดับประมาณ 50%-55%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะรักษาสถานะการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มเกียรตินาคินภัทรและได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแม่อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้หากสถานะด้านเครดิตของธนาคารเกียรตินาคินเปลี่ยนแปลงไป หรือระดับที่บริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเกียรตินาคินภัทรเปลี่ยนแปลงไป หรือสถานะในการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทต่อกลุ่มเกียรตินาคินภัทรเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับบริษัทย่อยอื่น ๆ ของกลุ่ม
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- Securities Company Rating Methodology, 9 April 2020
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (PHATRA)
อันดับเครดิตองค์กร: A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable