ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยโดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากการมีฐานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ RHB Bank Berhad (RHB Bank) (ได้รับอันดับเครดิต “AA/Stable” จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 4 ของประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนสถานะทางการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ที่จำกัดและการมีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย รวมทั้งการมีเงินกองทุน การก่อหนี้ และการทำกำไรที่อยู่ในระดับเพียงพอ การมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางด้านเครดิตในระดับที่บริหารจัดการได้ ตลอดจนการมีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ RHB Bank Group
ทริสเรทติ้งพิจารณา บล. อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) ว่ามีสถานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ RHB Bank Group (ประกอบด้วย RHB Bank และบริษัทย่อยอื่น ๆ) เนื่องจากบริษัทถือหุ้น 99.9% โดย RHB Investment Bank Berhad (RHBIB) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยและมีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ RHB Bank บริษัทเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายธุรกิจธนาคารในภูมิภาคเอเชียของ RHB Bank Group และได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินจากกลุ่มอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังดำเนินธุรกิจภายใต้ระบบบริหารจัดการความเสี่ยงและระบบปฏิบัติการแบบบูรณาการของกลุ่มด้วย ทั้งนี้ ในด้านการสนับสนุนทางการเงินนั้น บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจำนวน 489 ล้านบาทจาก RHB Bank (สาขากรุงเทพฯ ) และจาก RHB Bank (สาขาลาบวน – Labuan) ซึ่งช่วยเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท
สถานะทางการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ที่จำกัดซึ่งมีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย
บริษัทมีสถานะทางการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ที่ค่อนข้างเล็กซึ่งมีแนวโน้มที่จะอยู่ในลักษณะเช่นนี้ต่อไปในระยะปานกลางเนื่องจากบริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างฐานลูกค้า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อยู่ในอันดับที่ 26 จากจำนวนโบรกเกอร์ 38 ราย ด้วยส่วนแบ่งรายได้ในสัดส่วน 1.3% ในขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของบริษัทก็มีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน โดยบริษัทอยู่ในอันดับที่ 17 ด้วยส่วนแบ่งในสัดส่วน 2.3%
ในเชิงความหลากหลายทางธุรกิจนั้น บริษัทมีแหล่งรายได้ที่ถือว่ากระจายตัวเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้ค่านายหน้าของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็น 51% ของรายได้รวมซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 54% ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการอยู่ที่ระดับ 7% และกำไรจากเงินลงทุนอยู่ที่ระดับ 17% ของรายได้รวมเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 14% และ 11% ตามลำดับ ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าโครงสร้างรายได้ของบริษัทแสดงให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นแหล่งรายได้หลักมากจนเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าโครงสร้างรายได้ของบริษัทจะยังคงค่อนข้างกระจายตัวเนื่องจากบริษัทยังคงขยายผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด เช่น สัญญาซื้อขายหุ้นสามัญรายตัวล่วงหน้า (Single Stock Futures -- SSF) ในขณะที่ยังคงรักษาฐานรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้
เงินกองทุน ภาระหนี้ และการทำกำไรอยู่ในระดับเพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะเงินกองทุน ภาระหนี้ และการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอโดยพิจารณาจากส่วนผสมของการมีเงินกองทุนที่แข็งแรง ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ และความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนแอของบริษัท
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาฐานเงินกองทุนที่แข็งแรงภายใต้ประมาณการของทริสเรทติ้งที่อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงแล้วที่ระดับประมาณ 14%-18% ในปี 2563-2565 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทจะยังมีข้อจำกัดจากอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยที่อยู่ในระดับต่ำของบริษัทซึ่งจะจำกัดการเติบโตของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แม้ว่าฐานลูกค้าจะขยายตัวก็ตาม ในขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจส่วนอื่น ๆ นั้นคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อพิจารณาจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานในระดับสูงของบริษัทก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทด้วย โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 100.6% จาก 81.2% ในปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 72.2% ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของบริษัทซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นจะยังคงอยู่ในระดับอ่อนแอที่ประมาณ -1% ถึง -2% ในช่วงเวลา 2-3 ปีข้างหน้า
ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางด้านเครดิตอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
บริษัทมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ในมุมมองของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ เนื่องจากกิจกรรมการลงทุนในบัญชีของบริษัทจำกัดอยู่ที่เฉพาะการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ที่ออกโดยบริษัทเท่านั้น ในขณะที่ความเสี่ยงทางด้านเครดิตของบริษัทนั้นก็อยู่ในระดับที่ควบคุมได้เนื่องจากนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นของบริษัทและการที่บริษัทปฏิบัติตามนโยบายบริหารความเสี่ยงของ RHB Bank Group ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาการขาดทุนทางด้านเครดิตได้ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ในปี 2562 บริษัทมียอดเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ในระดับปานกลางที่จำนวน 1.2 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.7 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้นและคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 1.9% ของทั้งอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทไม่มีรายงานค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับหนี้สูญเพิ่มเติมในปี 2562
เงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ
สถานะสภาพคล่องและแหล่งเงินทุนของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากความช่วยเหลือทางการเงินในรูปของวงเงินสินเชื่อจาก RHB Bank สาขากรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทยังถือได้ว่ามีโครงสร้างส่วนผสมของแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับความต้องการใช้เงินทุนซึ่งวัดจากอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพที่ระดับประมาณ 122% จากค่าเฉลี่ย 5 ปี โดยอัตราส่วนดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบระหว่างส่วนของผู้ถือหุ้นกับความต้องการใช้เงินทุนที่มีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ บริษัทยังถือได้ว่ามีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับรองรับภาวะการขาดสภาพคล่องชั่วคราวที่อาจเกิดขึ้นในขอบเขตขนาดของธุรกิจในปัจจุบันเนื่องจากบริษัทมีเงินวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทในยามจำเป็น ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่องซึ่งเปรียบเทียบระหว่างสินทรัพย์สภาพคล่องกับความต้องการใช้สภาพคล่องของบริษัทนั้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.8 จากค่าเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งแสดงถึงการมีสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอตามเกณฑ์ของทริสเรทติ้ง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับ บล. อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) ในระหว่างปี 2563-2565 มีดังนี้
• ส่วนแบ่งทางการตลาดด้านมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะอยู่ที่ระดับประมาน 1.6%-1.7%
• อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.07%
• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิจะอยู่ที่ระดับประมาณ 100%-110%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะดำรงสถานะความเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของ RHB Bank Group ได้และจะยังคงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากธนาคารแม่ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงหากเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกี่ยวกับสถานะเครดิตของ RHB Bank Group หรือเมื่อมีสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้มุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับระดับการสนับสนุนที่บริษัทจะได้รับหรือความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีต่อ RHB Bank Group เมื่อเทียบกับบริษัทย่อยอื่น ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไป
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
- Securities Company Rating Methodology, 9 April 2020
บริษัทหลักทรัพย์ อาร์ เอช บี จำกัด (มหาชน) (RHBS)
อันดับเครดิตองค์กร: AA-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable