ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ Hattha Kaksekar Limited (HKL) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเพื่อสะท้อนสถานะในการเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “AAA” แนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง) ทั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและในด้านการเงินมาโดยตลอด ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการสนับสนุนดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากบริษัทมีฐานะเป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม Solo Consolidation ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อนึ่ง อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเนื่องจากบริษัทเป็นหนึ่งในสามของผู้ประกอบการชั้นนำซึ่งให้บริการสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่รับเงินฝากได้ (Microfinance Deposit Taking Institution – MDI) เงินกองทุนที่แข็งแกร่งขึ้น และการมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงระดับประเทศของกัมพูชา ตลอดจนความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรมล้วนเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา
HKL เป็นหน่วยธุรกิจที่ให้บริการสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในประเทศกัมพูชา โดยบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้กำกับดูแลและควบคุมการดำเนินของ HKLอย่างใกล้ชิดผ่านคณะกรรมการของบริษัทซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารอาวุโสจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำนวน 5 คน นอกจากนี้ HKL ยังได้รับการสนับสนุนในด้านการดำเนินธุรกิจจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาอันได้แก่ ความรู้และทักษะทั้งด้านการปล่อยสินเชื่อและด้านเงินฝาก รวมทั้งระบบบริหารความเสี่ยงและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีบูรณาการร่วมกันอย่างเต็มที่กับระบบของธนาคารอีกด้วย
ทริสเรทติ้งคาดว่า HKL จะได้รับการสนับสนุนในส่วนของสภาพคล่องและการเงินที่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจสินเชื่อตามที่วางแผนไว้ ภายใต้แนวทางการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่มที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถให้การสนับสนุนในด้านการเงินแก่บริษัทได้อย่างไม่มีข้อจำกัดทั้งในส่วนของเงินกู้ยืม วงเงิน และการเพิ่มทุน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ธนาคารชาติแห่งกัมพูชา (National Bank of Cambodia – NBC) ได้อนุมัติเงินเพิ่มทุนมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของธนาคารกรุงศรีให้กับ HKL ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนของ HKL เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะปรากฎอยู่ในงบการเงินปี 2563 ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีได้ทำการเพิ่มทุนมูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯให้กับ HKL ในปี 2561 ซึ่งได้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทสู่ระดับ 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด
ทริสเรทติ้งมองว่าช่องว่างของกฎระเบียบในการกำกับดูแลระหว่างธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากได้ในประเทศกัมพูชานั้นมีค่อนข้างน้อย HKL เป็นสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศกัมพูชา โดยที่ธนาคารยังกำกับดูแลสถาบันการเงินอื่น ๆ ด้วย เช่น ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance Institution -- MFI) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialised Bank) บริษัทลีสซิ่ง และสำนักงานตัวแทน (Representative Office) ต่าง ๆ นอกจากนี้ ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากได้ยังมีเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio -- CAR) หลักเกณฑ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Liquidity Coverage Ratio -- LCR) และหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการตั้งสำรอง เป็นต้น
ความเสี่ยงระดับประเทศของกัมพูชาและอุตสาหกรรมภาคการเงิน
อันดับเครดิตองค์กรของ HKL สะท้อนถึงความเสี่ยงระดับประเทศของกัมพูชาและความเสี่ยงของอุตสาหกรรมภาคการเงินซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากได้ เนื่องจาก HKL ดำเนินธุรกิจเฉพาะในประเทศกัมพูชาเท่านั้น ในความเห็นของทริสเรทติ้ง เศรษฐกิจของกัมพูชาและภาคสถาบันการเงินมีโอกาสพบความท้าทายอย่างมากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 และการยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าทุกประเภทยกเว้นอาวุธยุทโธปกรณ์ (Everything-But-Arms – EBA) ของสหภาพยุโรป
ทริสเรทติ้งคาดว่า ระดับรายได้ที่ค่อนข้างน้อยและสถานะความสมดุลภายนอกที่อ่อนแออาจเป็นปัจจัยลดทอนความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของกัมพูชา การใช้ระบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลหลักก็ทำให้นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางค่อนข้างด้อยประสิทธิภาพ ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจยังเกิดจากปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อันประกอบด้วยอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอไปสหภาพยุโรป) และการก่อสร้างของภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก อัตราการเติบโตของสินเชื่อภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูง ใกล้เคียงระดับ 100% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product -- GDP) ณ สิ้นปี 2561 นั้นก็มาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศในอัตราส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับปัจจัยบวก ประเทศกัมพูชามีเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยในการประเมินความเสี่ยงของประเทศ
ลักษณะสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ ประกอบด้วยกฎระเบียบซึ่งยังตามหลังมาตรฐานสากล ความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลางจากการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ในความเห็นของทริสเรทติ้ง แหล่งเงินทุนของระบบค่อนข้างมีเสถียรภาพเนื่องจากเงินฝากมีสัดส่วนกว่า 80% ของแหล่งเงินทุนรวมของอุตสาหกรรม ณ สิ้นปี 2561 อย่างไรก็ตาม โครงการคุ้มครองเงินฝากซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การพัฒนานั้นยังแสดงให้เห็นว่าโอกาสในการเกิดเหตุการณ์แห่ถอนเงิน (Deposit Run) ภายใต้ภาวะวิกฤตินั้นยังคงมีอยู่ สถาบันการเงินก็มีทางเลือกของแหล่งเงินทุนที่ยังจำกัดเนื่องจากการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น
เป็นผู้ประกอบการชั้นนำซึ่งให้บริการสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่รับเงินฝาก
HKL มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝาก โดย ณ สิ้นปี 2562 HKL มีส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อและเงินฝากรวมซึ่งขึ้นเป็นอันดับ 2 จากสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 บริษัท ขึ้นจากอันดับ 3 ในปีก่อนหน้า ส่วนแบ่งทางการตลาดสินเชื่อและเงินฝากรวมอยู่ที่ระดับ 17% และ 16% ตามลำดับ สินเชื่อครัวเรือนคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของสินเชื่อรวม และส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อธุรกิจให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (Small- and Medium-Sized Enterprise – SME) เป็นหลัก การปล่อยสินเชื่อเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลัก โดยรายได้จากดอกเบี้ยสุทธิคิดเป็นสัดส่วนกว่า 94% ของรายได้รวมในปี 2562 สำหรับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นค่าธรรมเนียมจากการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะคงอยู่ในระดับค่อนข้างน้อยในระยะปานกลาง นอกจากนี้ HKL มีแผนมุ่งเน้นการเติบโตจากการปล่อยสินเชื่อรายย่อยที่ให้ผลตอบแทนสูง พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การบริหารความเสี่ยงที่มีความระมัดระวังช่วยจำกัดความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์
ในความเห็นของทริสเรทติ้ง การบริหารความเสี่ยงที่มีความระมัดระวังน่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์ของ HKL ได้ โดยคาดว่า HKL จะพบความเสี่ยงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากอื่น ๆ จากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้า EBA ของสหภาพยุโรป จากสมมติฐานที่มีความระมัดระวังของทริสเรทติ้ง ประมาณการอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของ HKL อยู่ที่ระดับ 0.8%-1.0% และต้นทุนทางเครดิดที่ระดับประมาณ 1.0% สำหรับปี 2563 และ 2564 แม้กระนั้น การประมาณดังกล่าวไม่น่าส่งให้กระทบต่อผลกำไรมากนัก เนื่องจาก HKL สามารถรักษาระดับต้นทุนทางเครดิตให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำได้ และมีอัตราส่วนเงินสำรองต่อหนี้สูญในระดับที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากอื่น ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
HKL ได้พัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ไปในทางที่ดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมลดลงสู่ระดับ 0.3% ณ สิ้นปี 2562 จากระดับ 0.7% ณ สิ้นปี 2561 จากการตัดหนี้สูญและอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง ต้นทุนทางเครดิตก็ลดลงสู่ระดับ -0.01% จากการตัดหนี้สูญ จากระดับ 0.55% ในปี 2561 อัตราส่วนเงินสำรองต่อหนี้สูญอยู่ที่ระดับ 150%-160% ในช่วงปี 2560 ถึง 2562
ฐานทุนแข็งแกร่งขึ้นและความสามารถในการทำกำไรปานกลาง
HKL มีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเพิ่มทุนครั้งล่าสุดจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่ความสามารถในการกำไรค่อย ๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เงินทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นอีก 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งของอัตราส่วน CAR เกินระดับ 21.53% ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของทางการที่ระดับ 15% ทริสเรทติ้งยังประเมินอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ระดับต่ำกว่า 5 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากอื่น ๆ ในระยะ 2 ปีข้างหน้า
ผลกำไรของ HKL มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ยังคงอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากอัตรากำไรจากดอกเบี้ยสุทธิที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากอื่น ๆ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.3% ในปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งรายใหญ่บางราย อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 0.3% ในปี 2562 จากระดับปกติที่ 2.3%-2.4% น่าจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวเนื่องจากต้นทุนทางเครดิตที่ต่ำเป็นพิเศษของปี
สภาพคล่องที่ไม่สอดคล้องกันแต่สามารถบริหารจัดการได้
HKL มีแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินฝาก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เงินฝากมีการเติบโตควบคู่ไปกับการเติบโตของสินเชื่อ ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ในระดับที่เทียบเคียงได้กับคู่แข่ง โดยตัวเลขของ HKL อยู่ที่ระดับ 151% ณ สิ้นปี 2561 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่ระดับ 164% ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานเงินฝากที่มีเสถียรภาพสูงของ HKL จะมีการเติบโตอย่างค่อยไปค่อยไปจากผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นสูง (High-Yielding Savings Accounts – HYSA) ซึ่งเริ่มนำเสนอให้กับลูกค้าในช่วงปี 2561 และเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเงินฝากประเภทออมทรัพย์ซึ่งมีสัดส่วน 24% ของเงินฝากรวม ณ สิ้นปี 2562 เพิ่มขึ้นจากระดับ 19% ณ สิ้นปี 2561
ทริสเรทติ้งคาดว่าสภาพคล่องที่ไม่สอดคล้องกันของ HKL ยังสามารถบริหารจัดการได้ ถึงแม้ว่ากว่า 90% ของเงินฝากของ HKL เป็นเงินฝากระยะสั้น แต่เงินฝากระยะสั้นส่วนใหญ่นั้นเป็นเงินฝากหมุนเวียนที่ยังกลับมาฝากต่อ วงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาก็ยังเป็นปัจจัยช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องอีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐานระหว่างปี 2563-2565
• อัตราการเติบโตของยอดสินเชื่อ: 15%-20% ต่อปี
• อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อ: 14%-15%
• อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อ: ประมาณ 0.8%-1.0%
• ต้นทุนทางเครดิต: ประมาณ 1.0%
• อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน: ต่ำกว่า 5 เท่า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าการดำเนินงานของบริษัทจะสอดคล้องควบคู่ไปกับกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนสมมติฐานของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแม่อย่างต่อเนื่องต่อไป โดยที่จะมีการควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทริสเรทติ้งยังคาดหวังด้วยว่าความสามารถในการทำกำไรและฐานทุนของบริษัทจะมีความแข็งแกร่งซึ่งเป็น 2 ปัจจัยรองรับความเสี่ยงในเชิงลบของธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในประเทศกัมพูชาได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มหากบริษัทมีสถานะทางการตลาดที่ดีขึ้น รวมทั้งมีผลประกอบการทางการเงินที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องและสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งไว้ได้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากฐานทุนหรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยา
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
Hattha Kaksekar Limited (HKL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable