ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นี้ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้รวม 4.205 พันล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมในปี 2563 นี้ โดยส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับการไถ่ถอนหุ้นกู้บางส่วน ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนเมษายน 2564
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดปูนซีเมนต์ภายในประเทศ รวมถึงประโยชน์จากการขยายการดำเนินงานสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และการมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบดังกล่าวก็ถูกลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจพลาสติก รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ (Refuse-derived Fuel -- RDF) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากการกระจุกตัวของแหล่งเงินกู้และข้อกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์อีกด้วย
ทริสเรทติ้งยังมองว่า ลักษณะกระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงสนับสนุนสถานะเครดิตของบริษัท และช่วยให้บริษัทสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอันเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 ได้ โดยการระบาดของไวรัส COVID-19 น่าจะส่งผลลบต่อธุรกิจปูนซีเมนต์ของบริษัท รวมถึงการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่า โรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอที่จะชดเชยชดเชยธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อ่อนแอลงได้
ทริสเรทติ้งคาดว่า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 7.7 พันล้านบาทในปี 2562 เป็น 8.0-8.3 พันล้านบาทในช่วงปี 2563-2564 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 7.5 พันล้านบาทในปี 2565 การเพิ่มขึ้นของผลกำไรส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังว่าบริษัทจะมีปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. เพิ่มขึ้นหลังจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าพลังความร้อน RDF อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันการลดลงของผลกำไรในภายหลังนั้นเกิดจากการที่ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าหรือ Adders นั้นเริ่มหมดอายุ โดยส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสองฉบับแรกซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญารวมจำนวน 73 เมกะวัตต์ (MW) จะหมดอายุในเดือนมกราคมและสิงหาคม 2565 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงขาลงของกำไรอาจเกิดขึ้นได้หากตลาดปูนซีเมนต์ตกต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อีกด้วย
สัดส่วนภาระหนี้สินของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นอีกจากแผนการใช้จ่ายเงินทุนของ บริษัท ทีพีไอโพลีนเพาเวอร์ จำกัด (TPIPP) เนื่องจากมีแนวโน้มการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแห่งใหม่และการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ในจังหวัดสงขลา เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเสนอเป็นผู้พัฒนาในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเริ่มต้นของโครงการดังกล่าวยังคงไม่ชัดเจน การซื้อที่ดินล่วงหน้าจะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทด้อยลง และบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ จากการถือครองที่ดินดังกล่าวเป็นะระยะเวลานาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าภาระหนี้สินทางการเงินบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงระหว่าง 7.0-7.5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิน่าจะอยู่ต่ำกว่า 10%
ในด้านของสภาพคล่อง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถชำระหุ้นกู้มูลค่ารวม 4.205 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดในปีนี้ได้ โดยพิจารณาจากประวัติในการเข้าถึงตลาดทุน นอกเหนือจากแผนการรีไฟแนนซ์แล้ว บริษัทกำลังเตรียมวงเงินสำรองจากธนาคารเพื่อรองรับการชำระคืนหุ้นกู้เหล่านี้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเน้นว่า บริษัทยังคงมีความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ที่สำคัญ จากหุ้นกู้ขนาดใหญ่จำนวน 9.6 พันล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระในเดือนเมษายน 2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าสถานะในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจพลาสติกจะยังคงเดิม ในขณะที่ธุรกิจพลังงานจะยังคงมีผลประกอบการที่น่าพอใจและยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มีสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดให้แก่กลุ่มบริษัท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับการก่อหนี้ให้เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นมีจำกัดในเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตาม การปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นอาจเกิดขึ้นได้หากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงต่ำกว่า 6 เท่าเป็นเวลานานและบริษัทสามารถกระจายแหล่งกู้ยืมได้ ปัจจัยบวกเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากระดับการก่อหนี้ที่ลดลงหรือผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่สูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน ในการนี้ อันดับเครดิตอาจลดลงจากการทรุดตัวของธุรกิจปูนซีเมนต์ รวมถึงผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ และการลงทุนที่มีขนาดใหญ่กว่าคาด ในขณะที่การสูญเสียส่วนทุนจำนวนมากจากคดีฟ้องร้องที่ยังคงค้างอยู่ก็อาจก่อให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TPIPL207A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 BBB+
TPIPL208A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,205 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 BBB+
TPIPL214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 BBB+
TPIPL214B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 BBB+
TPIPL218A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 BBB+
TPIPL221A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,530 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TPIPL224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TPIPL228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
TPIPL231A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TPIPL231B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TPIPL234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,645 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
TPIPL251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable