ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” แต่เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตที่เปลี่ยนไปสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับผลผลิตอ้อยที่ลดต่ำลงจากภาวะแล้งในประเทศไทยซึ่งจะกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำตาลทั่วโลกและการลดลงของความต้องการใช้เอทานอลก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทหดตัวลงในช่วง 2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจอ้อยและน้ำตาล ตลอดจนการมีแหล่งรายได้ที่หลากหลาย และการมีนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง
การลดลงของราคาน้ำตาลและภาวะความแห้งแล้งที่รุนแรงในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอ้อยปี 2562/2563 ทำให้คาดว่ารายได้และกำไรของผู้ผลิตน้ำตาลในประเทศไทยจะหดตัวลงในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยภาวะฝนแล้งจะส่งผลให้ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลลดต่ำลง รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะลดลง 22% โดยจะอยู่ที่ 5.7 พันล้านบาทในปี 2563 จาก 7.3 พันล้านบาทในปี 2562 ในขณะที่รายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 6.4-8.0 พันล้านบาทในปี 2564-2565 ทั้งนี้
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าราคาน้ำตาลโลกโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10 เซนต์ต่อปอนด์ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 12-14 เซนต์ต่อปอนด์ในปี 2564-2565 เมื่อเทียบกับราคาน้ำตาลระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน 2563 ที่ระดับ 12.8 เซนต์ต่อปอนด์ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 13% ในปี 2563 จากระดับ 14% ในปี 2562 และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 16%-18% ในปี 2564-2565 ซึ่งเท่ากับระดับในช่วงปี 2559-2561
ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 53% ณ สิ้นปี 2562 ทั้งนี้ บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินการลงทุนในส่วนของโรงงานใหม่และการเพิ่มกำลังการผลิตไปแล้ว
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ระดับ 51% ในปี 2565
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทจะมีเพียงพอในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 13% ในปี 2562 และมีแนวโน้มว่าจะหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 11% ในปี 2563 จากนั้นจะทยอยเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 15% ในปี 2564 และกลับสู่ระดับปกติที่ 25% ในปี 2565 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ที่ 4 เท่าในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ในช่วง 4-8 เท่าในระหว่างปี 2563-2565 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังมีเงินสนับสนุนจากทางสถาบันการเงินหลายแห่งและเงินสดภายในที่เพียงพอสำหรับการลงทุนในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับผลประกอบการทางการเงินของบริษัทที่จะลดลงจากผลกระทบของภาวะภัยแล้งที่รุนแรงในประเทศไทย รวมทั้งจากการลดลงของราคาน้ำตาลในตลาดโลกและความต้องการเอทานอลที่จะลดลงในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จะเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถฟื้นฟูผลการดำเนินงานให้กลับมาอยู่ในระดับน่าพอใจได้ในระยะเวลาที่ต่อเนื่องในขณะที่ยังสามารถรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในสัดส่วนที่ยอมรับได้ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากรายได้และอัตรากำไรของบริษัทเป็นไปตามที่
ทริสเรทติ้งประมาณการไว้หรือต่ำกว่า นอกจากนี้ การลงทุนเชิงรุกที่ทำให้เกิดภาระหนี้จำนวนมากจนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นก็อาจเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) (ESC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative