ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่”
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความผันผวนของตลาดน้ำมันที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัท และยังสะท้อนถึงแนวโน้มของธุรกิจการกลั่นน้ำมันที่อาจตกต่ำลง อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนในปี 2563 ในขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันรวมถึงค่าการกลั่นยังคงเปราะบาง ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันต่อไป
อันดับเครดิตของบริษัทยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงสถานะทางการตลาดที่มั่นคงในธุรกิจตลาดเชื้อเพลิง และประโยชน์ที่ได้รับจากการกระจายความหลากหลายของธุรกิจ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงบางส่วนจากความอ่อนไหวต่อราคาน้ำมันและภาระหนี้ของบริษัทที่สูงขึ้น
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอซึ่งเป็นผลมาจากความ ผันผวนของตลาดน้ำมัน การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกลดลง ในขณะเดียวกันก็เกิดสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซียด้วย ส่งผลให้เกิดการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างฉับพลันและทำให้เศรษฐกิจของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ปริมาณน้ำมันที่ล้นตลาดและความต้องการใช้น้ำมันที่หดตัวอย่างรุนแรงทำให้ ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงจากประมาณ US$64 ต่อบาร์เรลในเดือนมกราคม 2563 เหลือประมาณ US$21 ต่อบาร์เรลในเดือนเมษายน 2563
เช่นเดียวกับโรงกลั่นอื่น ๆ บริษัทขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ (รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ -- NRV) ประมาณ 3.4 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2563 นอกจากนี้ การหดตัวของอุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปอย่างรุนแรงทำให้ค่าการกลั่นลดลงอย่างมากส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันทั่วโลก ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทลดลงเหลือ 2.87 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 จาก 5.61 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ค่าการกลั่นรวมของบริษัทติดลบที่ 6.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกัน ปริมาณการกลั่นลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากสถานการณ์ข้างต้น ส่งผลให้ธุรกิจการกลั่นน้ำมันของบริษัทรับรู้ขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณ 2.6 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ความผันผวนของตลาดน้ำมันส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทมากกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้ผลขาดทุนจากการลงทุนในต่างประเทศสำหรับธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพของบริษัทยังคงสร้างกระแสเงินสดที่ดีให้แก่บริษัท ส่งผลให้ภาพรวมของบริษัทมีขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจำนวน 1.2 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2563 ในมุมมองของทริสเรทติ้ง กลยุทธ์ในการกระจายความหลากหลายของธุรกิจไปสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นช่วยรองรับความผันผวนจากราคาน้ำมันและค่าการกลั่น โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายได้ประมาณ 3.0-3.5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทไม่ขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในปี 2563 ได้ นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายฝ่ายทุน ซึ่งรวมถึงการเลื่อนการซ่อมบำรุงใหญ่ และการปรับลดการลงทุนใหม่ ๆ
ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์สำหรับน้ำมันสำเร็จรูปน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” หรือ “ลบ” เพื่อสะท้อนถึงมุมมองว่าการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันในโลกยังคงเปราะบาง แม้ว่าหลายประเทศจะเริ่มเปิดประเทศแล้ว แต่แนวโน้มของกลุ่มโรงกลั่นยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ที่ไวรัสโควิด-19 จะกลับมาระบาดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปกลับมาตกต่ำลงอีก นอกจากนี้ การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังเหตุการณ์โควิด-19 นั้นอาจส่งผลเชิงลบต่อการใช้น้ำมันได้ ซึ่งจะทำให้ค่าการกลั่นยังคงได้รับแรงกดดันอยู่ต่อไป
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงปรับประมาณการผลการดำเนินงานของบริษัทลง โดยทริสเรทติ้งคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ในช่วง 30-35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563 และเพิ่มขึ้นเป็น 50-55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564-2565 ทริสเรทติ้งมองว่าค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจะลดลงอีกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 แต่น่าจะค่อย ๆ ฟื้นกลับมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 โดยค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทน่าจะอยู่ระหว่าง 3-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563 ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในครั้งก่อน โดยค่าการกลั่นพื้นฐานนี้คาดว่าจะดีขึ้นในปี 2564-2565 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานว่าบริษัทจะใช้กำลังการกลั่นประมาณ 77% หรือประมาณ 92 พันบาร์เรลต่อวันในปี 2563 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 100-115 พันบาร์เรลต่อวันในปี 2564-2565
ในประมาณการฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ประมาณ 3-4 พันล้านบาทในปี 2563 ลดลงจาก 9.9 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 55%-60% ในปี 2563 จาก 50% ในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะดีขึ้นในปีถัด ๆ ไป โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะกลับมาอยู่ในช่วง 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564-2565 โดยในช่วงเดียวกันนี้อัตราส่วนหนี้สิ้นทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย น่าจะอยู่ที่ 5-6 เท่า ซึ่งสูงกว่าการประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงไปอยู่ที่ราว ๆ 4 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะอยู่ประมาณ 60% สูงกว่าที่ประมาณการครั้งก่อนที่ 50%-55%
ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 5.4 พันล้านบาท เมื่อพิจารณาถึงเงินสดในมือประมาณ 1.06 หมื่นล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวนประมาณ 1.22 หมื่นล้านบาทนั้นทริสเรทติ้งมองว่าสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” นั้นได้คำนึงถึงการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอ่อนแอลงในปี 2563 ซึ่งเป็นผลกระทบจากความผันผวนของตลาดน้ำมัน ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันและค่าการกลั่นมีโอกาสที่จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันต่อเนื่องในปีถัด ๆ ไป ดังนั้นจึงมีโอกาสที่สถานะทางการเงินของบริษัทจะอ่อนแอลงได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
แนวโน้มอันดับเครดิตอาจจะถูกปรับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญซึ่งรวมถึงผลกำไรที่สูงขึ้นและภาระหนี้ที่ลดลง ซึ่งอาจจะเกิดจากอุปสงค์น้ำมันฟื้นตัวอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีค่าการกลั่นที่แข็งแกร่ง
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างที่คาดการณ์ซึ่งอาจจะเกิดจากการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันที่กินเวลานานหรือยังคงเกิดอุปทานส่วนเกินของน้ำมันอยู่
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 12 กันยายน 2561
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BCP208A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A
BCP214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A
BCP224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A
BCP225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A
BCP238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A
BCP244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A
BCP258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A
BCP273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A
BCP275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A
BCP28DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A
BCP303A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A
BCP305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A
BCP19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 10,000 ล้านบาท BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative