ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB” จากเดิมที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ การเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทที่ระดับ “BBB” อีกด้วย โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 3.65 พันล้านบาทที่ประกาศผลไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 เนื่องจากบริษัทตัดสินใจปรับเพิ่มวงเงินของหุ้นกู้ที่จะออกจำหน่าย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งเพื่อขยายธุรกิจ และชำระหนี้
อันดับเครดิต “BBB” ยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของไทยและความแข็งแกร่งของตราสัญลักษณ์ “ดั๊บเบิ้ล เอ” (Double A) อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นและลงของอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ รวมถึงอุปสงค์ของกระดาษพิมพ์เขียนในประเทศไทยและทั่วโลกที่ชะลอตัว ในขณะเดียวกัน การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการขยายธุรกิจของบริษัทไปสู่อุตสาหกรรมกระดาษบรรจุภัณฑ์เมื่อเร็ว ๆ นี้อีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทได้นำแผนปรับปรุงการดำเนินงานมาใช้ ซึ่งแผนดังกล่าวประกอบไปด้วยการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการผสมผสานของผลิตภัณฑ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ในขณะที่การขายกิจการโรงงานผลิตกระดาษ Alizay ที่มีต้นทุนสูงออกไปในปี 2561 ก็ช่วยให้ความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย
อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 20% มาตั้งแต่ปี 2561 จากระดับต่ำที่ 8.2% ในปี 2559 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2562 จากระดับต่ำกว่า 3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนปี 2560 ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงต่ำกว่าระดับ 4 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับระดับ 5-10 เท่าในอดีต
การดำเนินงานแบบครบวงจรช่วยสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน
ขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนของไทยเป็นผลมาจากธุรกิจของบริษัทที่มีการดำเนินงานแบบครบวงจรตั้งแต่การผลิตเยื่อกระดาษไปจนถึงการผลิตกระดาษ โดยการดำเนินงานดังกล่าวทำให้เกิดการผสานพลัง (Synergy) และช่วยควบคุมต้นทุน ทั้งนี้ การที่เยื่อกระดาษซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตกระดาษมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์จึงทำให้ราคาเยื่อกระดาษมีความผันผวน ดังนั้น ผู้ผลิตกระดาษที่มีโรงงานผลิตเยื่อกระดาษเป็นของตนเองจึงมีความได้เปรียบในด้านต้นทุน บริษัทมีโรงงานผลิตเยื่อกระดาษเป็นของตนเองที่ดำเนินการร่วมกันกับโรงงานผลิตกระดาษในจังหวัดปราจีนบุรี
การขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยในปี 2562 บริษัทได้สร้างโรงงานผลิตเยื่อกระดาษแห่งใหม่ที่ใช้กระดาษใช้แล้วเป็นวัตถุดิบ โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับโรงงานผลิตเยื่อกระดาษเดิมของบริษัทในจังหวัดปราจีนบุรี มีกำลังการผลิต 270,000 ตันต่อปี ใช้เงินลงทุนเกือบ 1 พันล้านบาท โรงงานเริ่มทำการผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 และคาดว่าจะเดินเครื่องเต็มกำลังในปี 2564 บริษัทมีสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์ระยะเวลา 3 ปีกับผู้ผลิตกระดาษรายหนึ่งในประเทศจีนคือกลุ่ม Shanying โดยสัญญาดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงในด้านการจัดหาวัตถุดิบและความต้องการซื้อเนื่องจากคู่สัญญาจะจัดหาวัตถุดิบในการผลิตให้แก่บริษัทและให้ประกันการซื้อขั้นต่ำสำหรับเยื่อกระดาษที่บริษัทผลิต นอกจากนี้ บริษัทยังได้เริ่มผลิตกระดาษคราฟท์ที่โรงงานของตนเองในจังหวัดปราจีนบุรีในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้อีกด้วย โดยบริษัทสามารถผลิตได้มากถึง 250,000 ตันต่อปีตามกำลังการผลิตในปัจจุบัน ซึ่งการกระจายความเสี่ยงไปสู่กระดาษบรรจุภัณฑ์ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความต้องการกระดาษพิมพ์เขียนที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทั้งนี้ การบริโภคกระดาษพิมพ์เขียนทั่วโลกลดลงในอัตราเฉลี่ย 3.3% ต่อปีในช่วงปี 2558-2562 ในขณะที่อัตราการบริโภคกระดาษบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.6% ต่อปี (ที่มา: บลูมเบิร์ก)
ทริสเรทติ้งคาดว่าผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) จะทำให้รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลงเหลือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จาก 1.92 หมื่นล้านบาทในปี 2562 โดยรายได้จากการจำหน่ายกระดาษในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ลดลง 23.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 6.91 พันล้านบาท รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทคาดว่าน่าจะฟื้นตัวในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ 2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จากการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่คือเยื่อกระดาษที่ผลิตจากกระดาษใช้แล้วและกระดาษคราฟท์ ทริสเรทติ้งคาดว่าเยื่อกระดาษที่ผลิตจากกระดาษใช้แล้วและกระดาษคราฟท์จะสร้างรายได้รวมกันที่ระดับ 3-4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 4-5 พันล้านบาทต่อปี โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ที่ระดับสูงกว่า 20%
การก่อหนี้น่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับปัจจุบัน
ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับการก่อหนี้ของบริษัทจะทรงตัวอยู่ที่ระดับปัจจุบัน แม้บริษัทวางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเยื่อกระดาษที่ผลิตจากกระดาษใช้แล้ว แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานน่าจะเพียงพอที่จะรองรับเงินลงทุนได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 1-1.2 พันล้านบาทต่อปี เมื่อพิจารณาถึงภาระหนี้ที่ต้องชำระจำนวน 2.5-3 พันล้านบาทต่อปีแล้ว เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 3-4 พันล้านบาทนั้นน่าจะรองรับรายจ่ายได้เกือบทั้งหมด ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 55% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 3-4 เท่าในช่วงปี 2563-2565
สภาพคล่องน่าจะบริหารจัดการได้
บริษัทน่าจะสามารถบริหารจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสมในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยในช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระทั้งสิ้นประมาณ 2.84 พันล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับใช้เป็นทุนหมุนเวียน 2.61 พันล้านบาทและเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารอีก 0.23 พันล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกันอยู่ที่จำนวน 0.85 พันล้านบาท รวมทั้งยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่า 1.64 พันล้านบาท และลูกหนี้การค้าอีกประมาณ 3 พันล้านบาท สินทรัพย์สภาพคล่องเหล่านี้น่าจะเพียงพอในการรองรับภาระหนี้ทั้งหมดที่จะครบกำหนดในปี 2563 ได้ บริษัทไม่มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในช่วงที่เหลือของปี 2563 แต่มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 2.2 พันล้านบาทในปี 2564 ในการนี้ บริษัทวางแผนจะหาแหล่งเงินทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2564 บางส่วนด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่
หุ้นกู้ของบริษัทมีข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินในส่วนของอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนที่ระดับไม่เกิน 2 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าว ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 อยู่ที่ 1.2 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ตลอดช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานพื้นฐาน
• รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.8-2.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565
• อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะทรงตัวอยู่เหนือระดับ 20%
• อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 3-4 เท่า
• เงินลงทุนรวมต่อปีจะอยู่ในช่วง 1-1.2 พันล้านบาทต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนเอาไว้ได้ การขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์จะช่วยกระจายความเสี่ยงของแหล่งรายได้และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในช่วงที่การบริโภคกระดาษพิมพ์เขียนมีแนวโน้มลดต่ำลง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะอันใกล้มีโอกาสค่อนข้างจำกัด ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทมีความรุนแรงมากกว่าที่คาดไว้หรือหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่คาดไว้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) (DA)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
DA235A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB
DA241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB
DA252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 10 ปี BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable