ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ เสถียรภาพของรายได้ และคุณภาพของผลประกอบการที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่มีขนาดค่อนข้างเล็กและกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการบริโภครายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเป็นปัจจัยลดทอนอันดับเครดิต
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะความเสี่ยงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
การประเมินของทริสเรทติ้งสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงของซิงเกอร์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การตัดหนี้สูญและระบบการจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้นส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing loans – NPLs) ลดลง สำรองหนี้สูญที่เพิ่มสูงขึ้นก็ช่วยเพิ่มอัตราส่วนสำรองหนี้สูญให้แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่การรุกเข้าไปในตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มีอัตราการชำระหนี้ล่าช้าน้อยกว่าก็ช่วยทำให้คณภาพสินทรัพย์โดยรวมแข็งแกร่งขึ้นและช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจได้
อัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงสู่ระดับ 6.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จากระดับ 12.2% ในปีก่อน โดยยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง 24% การก่อตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ก็ลดลงสู่ระดับ 9.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากระดับ 19.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 การตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มจำนวน 339 ล้านบาท ตามการบังคับใช้ครั้งแรกของมาตรฐานบัญชี TFRS9 ได้เพิ่มความแข็งแกร่งของอัตราส่วนสำรองหนี้สูญขึ้นสู่ระดับ 93% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 โดยอัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากระดับ 25% ณ สิ้นปี 2562 ก่อนการบังคับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9
แม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบด้านคุณภาพสินทรัพย์จากสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแออันเป็นผลกระทบที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) เช่นเดียวกับสถาบันการเงินแห่งอื่น โดยประมาณการอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะอยู่ที่ระดับ 7%-8% และต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ที่ระดับ 8%-9% ในช่วงปี 2563-2565 ซึ่งสะท้อนการเสื่อมถอยของคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นจากสัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (Underperforming หรือ Stage-2) และการผิดนัดชำระหนี้ที่เริ่มส่งสัญญาณเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 แม้กระนั้น คุณภาพสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับ 0.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563
คุณภาพผลประกอบการดีขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าคุณภาพของผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นโยบายควบคุมราคาขายของตัวแทนจำหน่ายจะช่วยหนุนกำไรขั้นต้นของบริษัทให้อยู่ในระดับที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ธุรกิจรายย่อยซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศประกอบกับการรุกเข้าสู่ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยกู้ที่มีการปรับค่าความเสี่ยงที่มั่นคงได้มากขึ้น ทริสเรทติ้งยังคาดว่าการขยายธุรกิจผ่านช่องทางแฟรนไชส์จะช่วยรักษาระดับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำได้
ทริสเรทติ้งประมาณการความสามารถในการทำกำไรของบริษัทซึ่งวัดโดยอัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ยที่ระดับประมาณ 5.3% ในปี 2563 และ 4.1% ในปี 2564-2565 บริษัทสามารถปรับปรุงผลกำไรให้ดีขึ้นตั้งแต่ปี 2562 โดยมีอัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 2.7% ในปี 2562 จากระดับ -1.1% ในปี 2561 โดยมีต้นทุนทางเครดิตที่ลดต่ำลง ประกอบกับกำไรขั้นต้นและประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นปัจจัยหลัก
ธุรกิจกระจายตัวมากขึ้น
สถานะทางธุรกิจของบริษัทสะท้อนถึงขนาดธุรกิจที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ประกอบไปด้วยธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนแบบเงินผ่อน และการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ซึ่งมุ่งเน้นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม โดยมีขนาดสินทรัพย์รวมของบริษัทมีมูลค่า 6.9 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2563 แม้ว่าบริษัทจะมุ่งขยายธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเชิงพาณิชย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจสินเชื่อเงินผ่อนสำหรับลูกค้ารายย่อย ซึ่งช่วยลดความกระจุกตัวของแหล่งรายได้และสินเชื่อ เครือข่ายทั่วประเทศของบริษัทซึ่งอยู่ในช่วงของการขยายตัวประกอบด้วย 175 สาขา 1,360 แฟรนไชส์ และพนักงานขายกว่า 3,800 คน เป็นปัจจัยเกื้อหนุนความกระจายตัวของพื้นที่ครอบคลุมทางธุรกิจ ที่มาของรายได้หลักของบริษัทมาจากการขายเครื่องใช้ไฟฟ้า (ประมาณ 60% ของรายได้รวมในปี 2562) ตามมาด้วยรายได้จากดอกเบี้ย (ประมาณ 40%) นอกจากนี้สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุด 20 อันดับแรกมีสัดส่วนอยู่ที่ระดับ 25% ซึ่งเป็นระดับที่บริหารจัดการได้
เงินทุนแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับฐานทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยประมาณการอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงที่ระดับ 17%-22% ในช่วงปี 2563-2565 แม้ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของสินเชื่อในระดับสูง โดยประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและการปล่อยสินเชื่อที่ระดับ 40%-50% ในปี 2563 ตามด้วยระดับ 10%-20% ในปี 2564-2565 การเติบโตที่แข็งแกร่งคาดว่าจะมาจากรายได้จากการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ และอัตราการจ่ายเงินปันผลตามนโยบายของบริษัทที่ระดับ 60% อีกด้วย ซิงเกอร์ได้ตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มเติมเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชี TFRS9 เป็นมูลค่า 339 ล้านบาทโดยหักจากกำไรสะสม ณ ต้นปี 2563 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงสู่ระดับ 26.7% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 จากระดับ 33.0% ณ สิ้นปี 2562 อัตราการก่อหนี้ของบริษัทยังอยู่ในระดับปานกลาง ตามข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้ บริษัทจำเป็นจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้ต่ำกว่า 3 เท่า
แหล่งเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอ
แหล่งเงินทุนที่เพียงพอของบริษัทสะท้อนถึงแหล่งเงินทุนที่มีความมั่นคงซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้เงินทุนในระยะยาวของบริษัท ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 100% ระหว่างปี 2562-2563 ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีตราสารหนี้คงค้างเป็นมูลค่า 3.6 พันล้านบาท โดยประมาณ 2 ใน 3 ของตราสารหนี้มีวันครบกำหนดชำระเกิน 1 ปี ทริสเรทติ้งยังคาดว่าแหล่งที่มาของสภาพคล่องที่พอเพียงและกระแสเงินสดจากสินเชื่อจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อแบบมีเงื่อนไขผูกมัด (Committed Credit Facilities) จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่เป็นมูลค่า 466 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน (ในระหว่างปี 2563-2565)
• การขยายตัวของสินเชื่อคงค้างจะอยู่ที่ระดับ 40% ในปี 2020 และ 17%-18% ต่อปีในปี 2564-2565
• ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 13%-13.5%
• ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะอยู่ในระดับ 7%-8% ต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความเห็นของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีอยู่อย่างต่อเนื่องได้ ในขณะที่คงระดับเงินทุนที่แข็งแกร่ง และคุณภาพของผลประกอบการที่ดีได้ในระยะปานกลาง และยังคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการวันครบกำหนดชำระหนี้และคงแหล่งสภาพคล่องที่เพียงพอไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิต/แนวโน้มอันดับเครดิตลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือเงินทุนอ่อนแอลงอย่างมาก ทริสเรทติ้งยังสามารถปรับลดอันดับเครดิตลงหากแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องมีการลดลงลงอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
ทั้งนี้ โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะใกล้มีจำกัด
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable