ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” ที่ “A-” แนวโน้ม “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 5, 2020 14:41 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? พร้อมทั้งคงแนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ?

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงความเสี่ยงของบริษัทที่เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนสถานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่าคาดในปี 2563 อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2563

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทและผลงานในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-suit Warehouse) และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมนอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และเงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ตลอดจนความยืดหยุ่นทางการเงินจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT หรือทรัสต์ฯ) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทก็ถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงของประเทศ และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทในต่างประเทศ ตลอดจนความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การลดลงของระดับหนี้ยังคงเป็นปัจจัยที่ท้าทาย

บริษัทมีภาระหนี้อยู่ในระดับที่สูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากการขยายการลงทุนจำนวนมากอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.83 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จากระดับ 3.23 หมื่นล้านบาทในปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 8 เท่าในปี 2561-2562 และ 7.2 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากระดับ 5.6 เท่าในปี 2559

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงเนื่องจากบริษัทมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต จากข้อมูลงบลงทุนที่ได้รับจากผู้บริหารของบริษัท คาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนรวม 2 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2563-2565 โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ไปในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยและเวียดนาม ตลอดจนพัฒนาคลังสินค้าให้เช่า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการลงทุนจำนวนมากในโครงการสาธารณูปโภคอีกด้วย

ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 4.9-6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6.7-7.8 เท่าในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3-4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน

ยอดขายที่ดินชะลอลงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้รับแรงกดดันอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อันเนื่องมาจากมาตรการควบคุมการเดินทางและภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศลดลง ทั้งนี้ ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยลดลงเหลือเพียงประมาณ 300 ไร่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เมื่อเทียบกับระดับที่เกินกว่า 700 ไร่ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ทริสเรทติ้งได้ปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานของบริษัทลงเพื่อสะท้อนถึงการหดตัวที่รุนแรงมากขึ้นของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปี 2563 และการฟื้นตัวที่เชื่องช้าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการขายที่ดินของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาทในปี 2563 จากระดับ 3.5 พันล้านบาทในปี 2562 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3-3.6 พันล้านบาทในปี 2564-2565

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายด้าน ทั้งจากแนวโน้มที่อาจจะเกิดความไม่สงบทางการเมือง สถานการณ์โรคโควิด 19 ที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ตลอดจนระดับของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะปานกลางถึงระยะยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากทำเลที่ตั้งของประเทศและการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ในขณะที่ความต้องการในการย้ายฐานการผลิตซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดอย่างหนัก ตลอดจนความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนก็ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนอีกส่วนหนึ่งด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังจะได้รับอานิสงส์จากการที่บริษัทมีที่ดินจำนวนมากถึงประมาณ 8,800 ไร่ (รวมถึงที่ดินที่อยู่ในนิคมแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา) อีกด้วย ซึ่งประมาณ 83% ของที่ดินทั้งหมดนี้อยู่ในเขตจังหวัดชลบุรีและระยองซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก

ความต้องการพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น

แม้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลง แต่ความต้องการพื้นที่ให้เช่าของบริษัทกลับเพิ่มมากขึ้น โดยที่การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากการเติบโตอย่างมากของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาด ในการนี้ รายได้ค่าเช่าและค่าบริการของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 20.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ระดับ 623 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2563

ทริสเรทติ้งมองว่าความต้องการพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าและโรงงานจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าอานิสงส์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มีมากขึ้น

ฐานรายได้ประจำจากธุรกิจสาธารณูปโภค

รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมและความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าโรงไฟฟ้ารายใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท นอกเหนือไปจากการปรับราคาค่าบริการ รวมทั้งสัดส่วนรายได้จากการให้บริการน้ำที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 2.3 พันล้านบาทในปี 2562 จากระดับ 2 พันล้านบาทในปี 2559 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate -- CAGR) ที่ระดับ 4.1%

อย่างไรก็ตาม รายได้ดังกล่าวลดลง 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมาอยู่ที่ระดับ 1 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปริมาณยอดขายน้ำที่ลดลงจากสถานการณ์ภัยแล้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ซึ่งส่งผลให้โรงไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมีหลายแห่งเลื่อนแผนการซ่อมบำรุงเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำลง ตลอดจนโรงงานบางแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้หยุดการผลิตชั่วคราวในช่วงที่อุปสงค์ลดลงอย่างมากในช่วงสูงสุดของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบเพียงชั่วคราวและรายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคของบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปจากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและลูกค้าที่ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทเริ่มทยอยดำเนินการผลิต

ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากเงินปันผลของธุรกิจโรงไฟฟ้า

บริษัทลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าหลายแห่งผ่านทางบริษัทย่อย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 570 เมกะวัตต์ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าประมาณ 1-1.2 พันล้านบาทในปี 2563-2565 ซึ่งเงินปันผลดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 19%-20% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในปี 2563-2565

เป็นผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการของลูกค้าและธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำใน 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าให้เช่าและธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัทนั้นถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่าทศวรรษ

ภายหลังจากการซื้อกิจการของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (เดิมชื่อ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน)) ในปี 2558 ส่งผลให้บริษัทเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 41% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนผู้นำในลำดับรองลงมาคือ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (29%) และ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (18%)

พื้นที่ให้เช่าของบริษัทก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นภายหลังจากการซื้อกิจการของบริษัทดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 พื้นที่ให้เช่าทั้งหมดของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 2,438,335 ตารางเมตร (ตร.ม.) ในส่วนของพื้นที่ที่มีผู้เช่านั้น บริษัทมีพื้นที่ที่มีผู้เช่าภายใต้การบริหารงานของบริษัทจำนวนทั้งสิ้น 1,999,301 ตร.ม.

สภาพคล่องอยู่ในระดับเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอ แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับประมาณ 3.3 พันล้านบาท รวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 3.6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 9 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 8.7 พันล้านบาทและเงินลงทุนตามแผนอีกประมาณ 6-7 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทและบริษัทย่อยยังมีความสามารถในการเข้าถึงตลาดทุนและบริษัทยังสามารถขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ฯ (REIT) ซึ่งเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งด้วย จากทางเลือกดังกล่าวทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินจำนวนมาก

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? รายได้จากการดำเนินงานจะลดลง 29% มาอยู่ที่ระดับ 8.2 พันล้านบาทในปี 2563 และจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564-2565

? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 46%-60% ในปี 2563-2565

? ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2563-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนถึงระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นและผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ในขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่อาจจะล่าช้ากว่าคาด ตลอดจนความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดจากโรคโควิด 19 นั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในระยะปานกลาง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

แนวโน้มอันดับเครดิตอาจเปลี่ยนเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? ได้ในกรณีที่บริษัทสามารถลดภาระหนี้ลงโดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย จ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 7 เท่าในระยะเวลาที่ต่อเนื่องในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลกระทบจากโรคโควิด 19 ที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีความยืดเยื้อ หรือหากบริษัทมีการลงทุนโดยใช้เงินกู้ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA)

อันดับเครดิตองค์กร: A-

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

WHA20OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 338 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 A-

WHA214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,900 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A-

WHA217A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A-

WHA219A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A-

WHA224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 454 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

WHA224B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

WHA226B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A-

WHA234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 328 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-

WHA244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

WHA247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 280 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

WHA247B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,450 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-

WHA257A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

WHA25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,380 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-

WHA264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ