ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนการเติบโตของธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลางและสม่ำเสมอ ตลอดจนคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ ความสามารถในการรักษาผลประกอบการ รวมถึงการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากฐานทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ตลอดจนภาระหนี้ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง และแรงกดดันที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรอันเนื่องมาจากการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเห็นได้จากพอร์ตสินเชื่อรวมที่มีอัตราการเติบโตอย่างมั่นคงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโต 4.13 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเติบโตที่ระดับ 15% จาก 3.59 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 โดยเป็นผลมาจากการทำการตลาดและการขยายตลาดด้วยการเปิดสาขา 2 แห่งในปี 2562 ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 พอร์ตสินเชื่อของบริษัทเติบโตประมาณ 2% จากสิ้นปีก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นเป็น 4.21 หมื่นล้านบาท จากการเติบโตของสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้ทะเบียนรถเป็นหลักประกัน บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการขนส่งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรซึ่งมีความอ่อนไหวค่อนข้างน้อยต่อสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดสินเชื่อใหม่ของบริษัทจะเติบโต 2.8% ในปี 2563 และจะเติบโตเฉลี่ย 3.7% ต่อปีในระหว่างปี 2564-2565 โดยสินเชื่อเช่าซื้อรถและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้ทะเบียนรถเป็นหลักประกัน น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มรถบรรทุกมือสองในภาคการขนส่งซึ่งยังคงมีความต้องการที่ค่อนข้างมากแม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
คุณภาพสินเชื่อโดยรวมน่าจะยังคงดีอยู่แม้ว่าจะมีแนวโน้มอ่อนแอลง
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษามาตรฐานในการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะช่วยควบคุมผลขาดทุนจากเครดิตที่อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบบ้าง จากคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเสื่อมถอยลง โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญต่อปีอยู่ในช่วง 1.4%-2% ในระหว่างปี 2563-2565
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.09% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จาก 3.45% ณ สิ้นปี 2562 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญสำหรับปี 2562 และครึ่งแรกของปี 2563 (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) อยู่ที่ระดับ 1.2%
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทตามมาตรฐานบัญชี TFRS9 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 74.9% จากระดับ 67.9% ณ สิ้นปี 2562
คุณภาพในการทำกำไรยังคงเดิม
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพในการทำกำไรต่อไปในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งประเมินความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางโดยวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยที่ระดับ 2.8% ในปี 2561?2562 ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 นั้น อัตราส่วนดังกล่าวเมื่อปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีอยู่ที่ระดับ 2.5% โดยบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 431 ล้านบาท ในขณะที่ในปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโต 7% มาอยู่ที่ระดับ 870 ล้านบาทจากปี 2561 ซึ่งกำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายหนี้สูญจะเพิ่มขึ้นด้วยก็ตาม
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2%-2.2% ในระหว่างปี 2563?2565 ประมาณการดังกล่าวเป็นผลมาจากการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งที่บริษัทจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่าย ในขณะที่มีการควบคุมค่าใช้จ่ายหนี้สูญและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มสินเชื่อสำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลงก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการขยายธุรกิจไปยังสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกมือสองเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ซึ่งน่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมทั้งการมีอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจะช่วยสนับสนุนให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายคงอยู่ที่ระดับ 4.5%-5.0% ได้ในช่วงปี 2563 จนถึงปี 2565 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายหนี้สูญของบริษัทในระหว่างปี 2563?2565 (font) จะเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงที่ผ่านมาเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
คาดว่าฐานทุนของบริษัทจะแข็งแรงขึ้น
บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงคงอยู่ในระดับต่ำที่ 11.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดความสามารถในการขยายสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานทุนของบริษัทจะปรับตัวแข็งแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเพิ่มทุนที่ราว ๆ 2.5 พันล้านบาทในปี 2564 โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงโดยเฉลี่ย 5 ปี (2561?2565) ที่รวมการเพิ่มทุนเข้าไปด้วยจะอยู่ที่ระดับ 15.4% ซึ่งระดับทุนของบริษัทที่แข็งแรงขึ้นจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจในระยะปานกลาง
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 7.9 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินที่บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 10 เท่า
สภาพคล่องยังคงเพียงพอถึงแม้ว่าอัตรส่วนเงินกู้ระยะสั้นค่อนข้างสูง
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าสถานะสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากบริษัทใช้เงินกู้ระยะสั้นเพื่อควบคุมต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้มีความไม่สอดคล้องกันในเรื่องของอายุของสินทรัพย์และหนี้สินและความเสี่ยงจากการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เก่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 เงินกู้ระยะสั้นของบริษัทซึ่งรวมถึงส่วนของเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดภายใน 1 ปีนั้นมีสัดส่วนประมาณ 64% ของเงินกู้รวม ในขณะที่อัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่อง (Liquidity Coverage Ratio, LCM) โดยเฉลี่ย 2 ปีของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างอ่อนแอ โดยอยู่ที่ 0.01 เท่า อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าวงเงินสำรองจากหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และวงเงินจากสถาบันการเงินอื่น ๆ จะมีเพียงพอที่จะรองรับการชำระตราสารหนี้ระยะสั้นที่บริษัทระดมจากตลาดทุนได้
แหล่งเงินทุนที่เพียงพอ
การที่บริษัทสามารถเข้าถึงได้ทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน รวมทั้งยังได้รับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งนั้น ทำให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายที่จะช่วยเสริมสถานะสภาพคล่องให้มีเพียงพอ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งรวมทั้งสิ้นจำนวน 3.77 หมื่นล้านบาท โดยที่ 18% ของวงเงินดังกล่าวนั้นยังไม่ได้เบิกใช้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจำนวน 3.9 พันล้านจากธนาคารออมสิน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องในช่วงที่ช่วยเหลือลูกหนี้ อีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2563-2565 ดังนี้
? การขยายตัวของสินเชื่อใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 2.8% ในปี 2563 และจะเติบโตที่ระดับ 3.7% ต่อปีหลังจากนั้น
? ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 4.5%-5%
? ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อจะอยู่ที่ประมาณ 1.4%-2%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ต่อไปได้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานทุนของบริษัทที่คาดว่าจะแข็งแรงขึ้นและการได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงมีระบบการบริหารความเสี่ยงและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับปัจจุบันหรือดีขึ้นได้อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถปรับสถานะทางการตลาดให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังสามารถรักษาคุณภาพสินเชื่อ และมีผลประกอบการทางการเงินอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และมีฐานทุนที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 25%
ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากสถานะทางการตลาดของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากบริษัทขยายธุรกิจด้วยการพึ่งพาเงินกู้เป็น จนทำให้อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดต่ำลงกว่าระดับ 9% ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมที่ถดถอยลงอย่างมาก หรือหากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายลดลงมากกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ก็อาจส่งผลกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรและส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (ASK)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable