ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะผู้นำในการเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพของบริษัทในประเทศไทยซึ่งบริษัทมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันโดยได้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของกลุ่มผู้ถือหุ้นหลักในการจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการจัดจำหน่าย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงจากอุปทานส่วนเกินของเชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงและกำไรที่มีความผันผวน นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังได้พิจารณาถึงความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศไทย
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในด้านการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศไทย โดยบริษัทผลิตทั้งเอทานอลและไบโอดีเซล (B100) ซึ่งผลิตจากผลิตภัณฑ์ชีวภาพเพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
บริษัทเป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศไทยรองจากกลุ่มมิตรผล โดยบริษัทเป็นทั้งเจ้าของและผู้ดำเนินงานโรงงานผลิตเอทานอล 3 แห่งผ่านบริษัทย่อย โดยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 0.6 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของกำลังการผลิตเอทานอลในประเทศไทย โดยเอทานอลจะใช้ผสมกับน้ำมันเบนซินเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์
ในขณะเดียวกัน บริษัทก็เป็นเจ้าของและผู้ดำเนินงานโรงงานไบโอดีเซลขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็น 12% ของกำลังการผลิตในประเทศไทยด้วย โดยบริษัทเป็นผู้ประกอบการที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 จากจำนวนผู้ผลิตไบโอดีเซลในประเทศทั้งหมด 13 ราย ซึ่งไบโอดีเซลนั้นใช้สำหรับผสมกับน้ำมันดีเซล
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 บริษัทจำหน่ายเอทานอลได้รวม 84 ล้านลิตร หรือคิดเป็นสัดส่วนทางการตลาดของยอดขายที่ระดับ 12.1% ในขณะเดียวกัน บริษัทก็มีสัดส่วนทางการตลาดของไบโอดีเซลที่ 14.1% โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 132 ล้านลิตร
มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจเอทานอลอย่างชัดเจนจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายทั้งวัตถุดิบและเอทานอลกับกลุ่มผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ การจัดตั้งบริษัทเกิดจากการควบรวมบริษัทย่อยของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งการควบรวมนี้ก่อให้เกิดห่วงโซ่การผลิตเอทานอลที่ครบวงจรตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน
ในด้านการจัดหาวัตถุดิบนั้น บริษัทน้ำตาลขอนแก่นเป็นผู้จัดหากากน้ำตาลส่งให้บริษัทเป็นหลัก โดยกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล ภายใต้สัญญาซื้อขายวัตถุดิบระยะยาวนั้น บริษัทมีสิทธิในการซื้อกากน้ำตาลทั้งหมดจากโรงงานน้ำตาล 4 แห่งของบริษัทน้ำตาลขอนแก่น ก่อนผู้ซื้อรายอื่น ซึ่งทริสเรทติ้งเห็นว่าสัญญาดังกล่าวช่วยลดทอนความเสี่ยงจากการขาดแคลนกากน้ำตาลให้แก่บริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2562 บริษัทซื้อกากน้ำตาลจากบริษัทน้ำตาลขอนแก่นประมาณ 70% ของความต้องการ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของบริษัทน้ำตาลขอนแก่นในการจัดซื้อกากน้ำตาลส่วนที่เหลือจากผู้จัดจำหน่ายรายอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ส่วนในด้านการจัดจำหน่ายนั้น บริษัทมีสัญญาซื้อขายเอทานอลระยะยาวกับบริษัทบางจาก โดยในปี 2562 บริษัทจำหน่าย
เอทานอลให้แก่บริษัทบางจากประมาณ 70% ของการผลิตเอทานอลทั้งหมดของบริษัท
สัญญารับซื้อโดยบริษัทบางจากช่วยลดความเสี่ยงด้านอุปสงค์
นอกจากเอทานอลแล้ว บริษัทบางจากยังมีสัญญาซื้อไบโอดีเซลระยะยาวกับบริษัทด้วย โดยในปี 2562 บริษัทจำหน่าย
ไบโอดีเซลประมาณ 81% ของยอดขายรวมให้แก่บริษัทบางจาก จากการที่บริษัทบางจากเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ บริษัทจึงสามารถผลิตไบโอดีเซลได้ในระดับที่เหมาะสมและยังช่วยบรรเทาความเสี่ยงด้านอุปสงค์ได้เป็นอย่างมากอีกด้วย โดยในปี 2562 บริษัทสามารถเพิ่มอัตราการผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลให้สูงเกินกว่า 95% ได้ ซึ่งเป็นอัตราการผลิตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งมีอัตราการผลิตเอทานอลที่ 75% และไบโอดีเซลที่ 60%
ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการใช้เอทานอลของบริษัทบางจากน่าจะอยู่ที่ประมาณ 340-360 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งสูงกว่ากำลังการผลิตของบริษัทที่ 198 ล้านลิตร ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทบางจากจะมีความต้องการไบโอดีเซลในปริมาณ 250-300 ล้านลิตรต่อปีซึ่งจะสามารถดูดซับปริมาณการผลิตเต็มที่ของบริษัทได้ราว ๆ 75%-90% นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทยังได้จำหน่ายไบโอดีเซลที่เหลือให้แก่ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่รายอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อบริษัทบางจากในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและสนับสนุน กลยุทธ์ของบริษัทบางจากในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อุปทานส่วนเกินของเชื้อเพลิงชีวภาพ
โอกาสทางธุรกิจของบริษัทถูกลดทอนลงจากสภาวะอุปทานส่วนเกินของเชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไร ทั้งนี้ กำลังการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพโดยรวมยังคงสูงกว่าการบริโภคภายในประเทศ โดยผู้ผลิตทั้งหมดในตลาดสามารถผลิตเอทานอลได้สูงสุดถึง 6.1 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้ความต้องการใช้เอทานอลลดลงอย่างมากเหลือ 3.8 ล้านลิตรต่อวัน โดยเป็นอัตราที่ลดลงถึง 12.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ความต้องการใช้เอทานอลก่อนการแพร่ระบาดอยู่ที่ประมาณ 4.4 ล้านลิตรต่อวัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการใช้เอทานอลจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2%-3% ต่อปี ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
เมื่อพิจารณาจากแผนน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศระหว่างปี 2561-2580 แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าการใช้เอทานอลจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านลิตรต่อวันในปี 2580 จากการที่ภาครัฐส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 (น้ำมันเบนซินผสมเอทานอล 20%) ให้เป็นเชื้อเพลิงพื้นฐานสำหรับยานพาหนะส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตเอทานอลของประเทศจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 70% ในระยะปานกลางจากอุปสงค์ที่เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในขณะเดียวกัน กำลังการผลิตไบโอดีเซลของประเทศที่ระดับ 8.5 ล้านลิตรต่อวันนั้นก็ยังคงสูงกว่าความต้องการของตลาด ส่งผลให้อัตรากำลังการผลิตโดยรวมอยู่ที่ระดับประมาณ 60% มาโดยตลอด ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 อุปสงค์ของ
ไบโอดีเซลในประเทศไทยอยู่ที่ 5.2 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้ ภาครัฐพยายามผลักดันให้มีการใช้ไบโอดีเซลมากยิ่งขึ้นโดยส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซล บี 10 และน้ำมันดีเซล บี 20 (น้ำมันดีเซลผสมด้วยไบโอดีเซล 10% และ 20% ตามลำดับ) โดยมีการกำหนดให้น้ำมันดีเซล บี 10 เป็นเชื้อเพลิงพื้นฐานสำหรับกลุ่มน้ำมันดีเซลเพื่อทดแทนน้ำมันดีเซล บี 7 ในการนี้ การเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจะช่วยให้อุปสงค์ของไบโอดีเซลเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 5%-10% ผลที่เกิดขึ้นก็คือการบริโภค
ไบโอดีเซลในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ยังคงขยายตัวที่ระดับ 10.7% แม้ว่าอุปสงค์ของน้ำมันดีเซลจะลดลง 4.3% ก็ตาม ซึ่งตามแผนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นคาดว่าการใช้ไบโอดีเซลน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านลิตรต่อวันภายในปี 2580
สำหรับสถานการณ์ดังกล่าว ทริสเรทติ้งมองว่าอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพอาจจะต้องใช้เวลาในการเข้าสู่สมดุล ดังนั้น ในระยะสั้นถึงปานกลางจึงมีแนวโน้มว่าสภาวะตลาดน่าจะยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงซึ่งจะทำให้อัตรากำไรยังคงมีความผันผวนในระดับสูง
ความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ
วัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพมาจากผลิตผลทางการเกษตร เช่น อ้อย ผลปาล์ม และมันสัมปะหลังเส้น ซึ่งผลผลิตเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและจำนวนพื้นที่เพาะปลูกเป็นหลัก ดังนั้น การขาดแคลนวัตถุดิบเหล่านี้จึงเป็นข้อจำกัดอย่างยิ่งต่อการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ นอกจากนี้ ราคาวัตถุดิบยังอาจจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากหากเกิดภาวะแห้งแล้งที่รุนแรงซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรของเชื้อเพลิงชีวภาพลดลง สำหรับบริษัทนั้น ความเสี่ยงในด้านวัตถุดิบนี้ได้รับการบรรเทาลงด้วยการที่บริษัทมีสัญญาจัดหาวัตถุดิบกับบริษัทน้ำตาลขอนแก่นและความเชี่ยวชาญของบริษัทน้ำตาลขอนแก่นในการคาดคะเนแนวโน้มผลผลิตและราคาน้ำตาล อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจะต้องทำการสต็อกวัตถุดิบในระดับสูงหากมีแนวโน้มว่าผลผลิตน้ำตาลจะอยู่ในระดับต่ำ
มุ่งสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
บริษัทมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพระดับโลกด้วยการมีนวัตกรรมสีเขียวแบบยั่งยืน (Greenovative Bio-business) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการเติบโตในระยะยาวโดยใช้แนวทางการเติบโตแบบอย่างก้าวกระโดด (S-curve growth) นอกจากนี้ ธุรกิจใหม่ของบริษัทจะใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งในการจัดหาผลิตผลทางการเกษตรและอนุพันธ์ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มในระดับสูง โดยธุรกิจใหม่อาจรวมไปถึงการผลิตวัสดุจากผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ตลอดจนการผลิตส่วนผสมอาหารหรือส่วนผสมเวชภัณฑ์จากผลิตภัณฑ์ชีวภาพซึ่งได้จากพืชผลทางการเกษตรที่มีอยู่ในประเทศไทย จากประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งมิได้คาดหวังว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนในธุรกิจใหม่นี้มากเกินไปจนส่งผลกระทบทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในช่วงระยะเวลาประมาณการระหว่างปี 2563-2566
สถานะทางการเงินที่เหมาะสม
บริษัทมีสถานะทางการเงินที่เหมาะสมและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 1 พันล้านบาทในปี 2562 และสำหรับครึ่งแรกของปี 2563 นั้น บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 874 ล้านบาท ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอล ในขณะที่ความต้องการใช้ไบโอดีเซลก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสำหรับครึ่งแรกของปี 2563 ก็เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.4% เนื่องจากส่วนต่างราคาจำหน่ายของเอทานอลและไบโอดีเซลเมื่อเทียบกับราคาวัตถุดิบมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดด้วย
บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการขยายกำลังการผลิตเอทานอล การเพิ่มกำลังการผลิตไบโอดีเซล การก่อสร้างโรงงานผลิตกลีเซอรีนบริสุทธิ์เพื่อเพิ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และการสร้างคลังเก็บวัตถุดิบใหม่ ส่งผลให้ ณ เดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 5.1 พันล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ราว ๆ 4-5 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2566 ในขณะเดียวกัน บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 พันล้านบาทต่อปีโดยอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าส่วนต่างราคาของเอทานอลน่าจะปรับลดลงเนื่องจากราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มสูงขึ้น นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าส่วนต่างราคาของไบโอดีเซลน่าจะกลับมาอยู่ในระดับปกติในช่วงประมาณการเนื่องจากยังมีภาวะอุปทานส่วนเกินอยู่ โดยรวมแล้วทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3.3 พันล้านบาทในช่วงประมาณการเพื่อการซ่อมบำรุง การเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานไบโอดีเซล การขยายกำลังการผลิตของโรงงานเอทานอล การก่อสร้างโรงงานกลีเซอรีนบริสุทธิ์และโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ จากแผนการลงทุนดังกล่าว
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 45%-50% ในช่วงปี 2563-2565 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในระดับประมาณ 4-5 เท่าในช่วงปี 2563-2565 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 4 เท่าในปี 2566
สภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับจัดการกับภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินทั้งสิ้นจำนวน 5.76 พันล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 2.94 พันล้านบาท ส่วนในระยะ 12 เดือนข้างหน้านั้น บริษัทจะมีเงินกู้ยืมระยะยาวที่ครบกำหนดชำระคืนทั้งสิ้นประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทน่าจะสามารถชำระคืนได้ด้วยเงินสดในมือที่บริษัทมีอยู่ประมาณ 700 ล้านบาท กับเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีอีกประมาณ 1 พันล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? กำลังการผลิตเอทานอลจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 แสนลิตรต่อวันในปี 2566 จาก 6 แสนลิตรต่อวันในปี 2563 และจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ประมาณ 90%-95%
? กำลังการผลิตไบโอดีเซลจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านลิตรต่อวันในปี 2566 จาก 1 ล้านลิตรต่อวันในปี 2563 และจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตประมาณ 90%
? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 10%-12% ในช่วงปี 2563-2566
? ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.3 พันล้านบาทในช่วงปี 2563-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพเอาไว้ได้และจะยังคงได้รับประโยชน์จากการมีสัญญาซื้อขายวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์กับผู้ถือหุ้นหลักของบริษัททั้ง 2 รายต่อไป ทริสเรทติ้งยังคาดว่าการประหยัดจากขนาดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทได้ในช่วงที่อุตสาหรรมยังมีอุปทานส่วนเกินอยู่
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงเกินกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมาก หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรต่อดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทสูงเกินกว่า 5 เท่าเป็นระยะเวลายาวนาน
ทั้งนี้ ภายใต้ ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่ม? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทบางจากอาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable