ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะที่มั่นคงทางธุรกิจของบริษัทในธุรกิจรถเช่าดำเนินงาน ภาระหนี้ในระดับต่ำ ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงถูกจำกัดด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรถเช่าซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจที่ยังคงเข้มแข็ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดในฐานะผู้ประกอบการขนาดกลางเอาไว้ได้ ด้วยชื่อเสียงของบริษัท ความชำนาญในธุรกิจรถเช่า และการให้บริการที่ครอบคลุม ในปี 2562 บริษัทยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในอันดับที่ 7 โดยพิจารณาจากขนาดสินทรัพย์ให้เช่าสุทธิเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมด้วยส่วนแบ่ง 5.7% เทียบกับ 5.0% (อันดับที่ 7) ในปี 2561 จากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง
บริษัทยังคงดำเนินนโยบายหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาและรักษาเกณฑ์การอนุมัติเครดิตอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการเสื่อมถอยของคุณภาพสินทรัพย์ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าสินทรัพย์ให้เช่ารวมของบริษัทจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะหยุดชะงักจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) แต่สินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระดับคงที่ที่ 4.2 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2563 เทียบกับ 4.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561
แม้ว่าบริษัทจะเชี่ยวชาญเฉพาะธุรกิจรถเช่าดำเนินงาน แต่สถานะทางธุรกิจของบริษัทก็ได้รับการสนับสนุนจากกลยุทธ์การประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับเครือข่ายธุรกิจของครอบครัว จันทรเสรีกุลซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัท การประกอบธุรกิจดังกล่าวส่งผลให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม เช่น บริษัทสามารถซื้อสินทรัพย์เพื่อให้เช่าได้ในราคาที่ถูกกว่าและยังสามารถจำหน่ายรถหมดสัญญาให้กับลูกค้ารายย่อยด้วยอัตรากำไรที่มากกว่าผ่านบริษัท กรุงไทย ออโตโมบิล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เป็นตัวแทนซื้อขายรถยนต์มือสองของบริษัทอีกด้วยแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรจากอายุสัญญาเช่าที่ยาวขึ้น
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้รับแรงกดดันจากอายุสัญญาเช่าที่ยาวขึ้นเป็น 5 ปีจาก 3 ปี ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของการเช่าดำเนินงานปรับตัวลดลงจากรายได้ค่าเช่าโดยเฉลี่ยที่ต่ำลงในแต่ละงวด ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงท้ายสัญญา
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรถเช่าดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ 12.0% จาก 15.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของการขายรถที่สัญญาเช่าสิ้นสุด ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ 27.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จาก 30.1% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ส่งผลให้ผลกำไรโดยรวมของบริษัท ซึ่งวัดโดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อรายได้ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 12.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จาก 13.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562
อัตรากำไรของการขายรถที่สัญญาเช่าสิ้นสุด ที่ปรับตัวลดลง เกิดจากการขายรถที่สัญญาเช่าสิ้นสุดผ่านวิธีการประมูลมีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการขายผ่านวิธีดังกล่าวให้อัตรากำไรในระดับที่ต่ำกว่าการขายให้กับลูกค้ารายย่อยโดยตรง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวพิจารณาว่าเป็นความผิดปกติเพียงชั่วคราวที่เกิดจากการจำหน่ายตรงแก่ลูกค้ารายย่อยต้องหยุดชะงักเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อรายได้ในระยะยาวของบริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากสัดส่วนของสัญญาที่มีอายุ 5 ปีมีสัดส่วนอยู่ที่ 80% ของจำนวนสัญญาทั้งหมดแล้ว ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าแรงกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นของการเช่าดำเนินงานจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถกลับมาจำหน่ายรถที่สัญญาเช่าสิ้นสุดให้แก่ลูกค้ารายย่อยผ่านทางเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายรถของบริษัทได้มากขึ้น จากการที่กิจกรรมการซื้อขายรถยนต์ในอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของการขายรถที่สัญญาเช่าสิ้นสุดสามารถทรงตัวอยู่ได้ที่ประมาณ 30% ดังเช่นที่ผ่านมา
ภาระหนี้จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับคงที่ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ระดับประมาณ 50%-56% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเทียบกับ 57.3% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 เนื่องจากการขยายพอร์ตอย่างระมัดระวังน่าจะส่งผลให้ความจำเป็นในการก่อหนี้เพื่อขยายพอร์ตมีไม่มากนัก อีกทั้งฐานทุนของบริษัทยังได้รับการคาดการณ์ว่าจะแข็งแกร่งขึ้น จากการปรับลดนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นประมาณ 50% จาก 70%-80% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เทียบกับ 1.6 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 และต่ำกว่าเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ของบริษัทที่ 3 เท่า
ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัท ซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นจะอยู่ในระดับเพียงพอในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะมีแนวโน้มลดลงตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาจากอัตรากำไรที่หดตัว ทริสเรทติ้ง
ประมาณการอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทที่ระดับประมาณ 3-4 เท่าในปี 2563-2566 เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเอาไว้ได้ในขณะที่ยังคงรักษาระดับภาระหนี้และต้นทุนทางการเงินไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้วอยู่ที่ระดับ 40.1% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563
แหล่งเงินทุนที่เพียงพอและสภาพคล่องที่แข็งแรง
สถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่เหมาะสม โดยการพึ่งพาเงินกู้ยืมระยะยาวเป็นแหล่งเงินทุนหลักเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาของสัญญาเช่าซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวคิดเป็นสัดส่วน 84% ของเงินกู้ยืมรวม นอกจากนี้ บริษัทยังมีความยืดหยุ่นทางการเงินจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากทั้งตลาดตราสารทุนและตราสารหนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่สามารถเบิกใช้ได้จากสถาบันการเงินหลายแห่งจำนวน 1.7 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อเช่าซื้อจำนวน 500 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ซึ่งจะเป็นแหล่งสภาพคล่องเพิ่มเติมเพื่อรองรับสภาวะการขาดสภาพคล่อง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2563-2566 มีดังนี้
? สินทรัพย์ให้เช่ารวมจะเติบโตที่ระดับ 0%-5%
? อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรถเช่าดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับประมาณ 12%
? ต้นทุนทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงสถานะทางธุรกิจและการเงินเอาไว้ได้เช่นเดิม ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาภาระหนี้ในระดับต่ำและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่เข้มแข็ง รวมถึงการดำรงสถานะผลประกอบการทางการเงินไว้ได้ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางธุรกิจของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและนำไปสู่ผลประกอบการและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่แข็งแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง
ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางธุรกิจของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหรือหากผลประกอบการทางการเงินหรือความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทถดถอยลงโดยมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่า 2 เท่า
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) (KCAR)
อันดับเครดิตองค์กร: A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable