ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?AA? พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาคจากการที่บริษัทมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและมีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการแสดงความตั้งใจอย่างจริงจังของบริษัทที่จะปรับลดภาระหนี้ลง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากภาระหนี้ที่สูงของบริษัท ตลอดจนสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง กฎระเบียบที่เข้มงวด และการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยที่มีบ่อยครั้ง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้จะฟื้นตัวหลังผลกระทบจากโรคโควิด 19 และกฎระเบียบใหม่ในประเทศเวียดนาม
รายได้ภายในประเทศของบริษัทได้รับผลกระทบหลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการปิดเมืองโดยห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปิดสถานบันเทิง เช่น ผับและบาร์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีการเงิน 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายในประเทศของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 4 ของปีการเงิน 2563 หลังจากที่รัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการปิดเมือง โดยทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายในประเทศของบริษัทจะทรงตัวในปีการเงิน 2563 และจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3% ในช่วงปีการเงิน 2564-2565
ในปีการเงิน 2563 รายได้จากการจำหน่ายเบียร์ในประเทศเวียดนามลดลงอย่างมากหลังจากที่รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มนำกฎหมายห้ามการขับรถขณะมึนเมาฉบับใหม่มาใช้ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงเมื่อมีการฝ่าฝืน ส่งผลให้ตลาดเบียร์ในประเทศเวียดนามหดตัวอย่างมากหลังจากที่กฎหมายฉบับใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังได้ใช้มาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ด้วย เมื่อพิจารณาจากผลกระทบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของ Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation (Sabeco) จะลดลงประมาณ 20% ในปีการเงิน 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของ Sebeco จะปรับฟื้นตัวประมาณ 5%-10% ในช่วงปีการเงิน 2564-2565 เนื่องจากผู้บริโภคชาวเวียดนามมีการปรับพฤติกรรมการดื่มให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่และรัฐบาลเวียดนามได้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองเมื่อสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้แล้ว
เพื่อรับมือกับผลกระทบจากโรคโควิด 19 และยอดขายเบียร์ในประเทศเวียดนามที่ลดลงอย่างมาก บริษัทจึงได้มีการควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหาร ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18.2% ในช่วงครึ่งแรกของปีการเงิน 2563 เมื่อเทียบกับระดับ 16.6% ในปีการเงิน 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 17%-18% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
สถานะที่แข็งแกร่งในตลาดและโอกาสในการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศ
บริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดแต่ละแห่งที่บริษัทได้เข้าไปดำเนินงาน สำหรับในประเทศไทยนั้น บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานาน โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามปริมาณการจำหน่ายสุรามากกว่า 90% และเบียร์เกือบ 40% นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มและน้ำดื่ม อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายสำคัญในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ อีกด้วย สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น Sabeco เป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนามซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 35%-40% ในขณะที่ Grand Royal Group (GRG) ก็เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสุราสีรายใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมาซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 75% ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะที่แข็งแกร่งทางการตลาดเอาไว้ได้จากการมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง
การขยายธุรกิจไปในประเทศเมียนมาและเวียดนามช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศลงได้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีการเงิน 2563 รายได้จากต่างประเทศมีสัดส่วนคิดเป็น 23% ของยอดขายรวม แม้ว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบอาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายในต่างประเทศในบางปี แต่ทริสเรทติ้งก็ยังคงเชื่อว่ารายได้ในตลาดต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ในประเทศ โดยตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศเมียนมาและเวียดนามยังไม่อิ่มตัวและมีแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศไทยเนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการขยายตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีประชากรที่มีอายุค่อนข้างน้อยด้วย ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนรายได้ที่มาจากนอกประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศ
มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง
บริษัทได้สร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมร้านค้าปลีกในประเทศไทยมากกว่า 400,000 ร้าน โดยมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 4 แห่งและมีรถขนส่งสินค้าจำนวน 7,000 คัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนที่มีประสิทธิภาพอีกประมาณ 300 รายและมีพนักงานขายมากกว่า 1,700 คน อีกทั้งยังขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนผ่านบริษัทในเครือที่สำคัญ ๆ ด้วย อาทิ Fraser and Neave Ltd. (F&N) ซึ่งมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดของตนเองในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ส่วนการซื้อกิจการล่าสุดดังที่กล่าวมาแล้วคือ Sabeco และกลุ่ม GRG นั้นก็ช่วยเพิ่มเครือข่ายในการกระจายสินค้าในประเทศเมียนมาและเวียดนาม
กฎระเบียบภาครัฐจำกัดการเติบโตในประเทศ
การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการควบคุมดูแลที่เข้มงวดของภาครัฐโดยมีกฎระเบียบต่าง ๆ อาทิ การจำกัดการโฆษณาและการทำกิจกรรมทางการตลาด การกำหนดเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น กฎระเบียบดังกล่าวทำให้การเพิ่มยอดขายและการทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ กระทำได้ยากแม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ การเก็บภาษีสรรพสามิตยังเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐนำมาใช้เพื่อลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย โดยภาครัฐมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตค่อนข้างบ่อย ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการขึ้นภาษีสรรพสามิตถึง 5 ครั้ง ในอดีตนั้นบริษัทสามารถรักษาอัตราการทำกำไรโดยการส่งผ่านภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภคซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายลดลงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่อยู่ในระดับต่ำ อัตราการทำกำไรหรือปริมาณการจำหน่ายของบริษัทจึงมีโอกาสที่จะสูงมากกว่าระดับในปัจจุบันหากมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตที่ไม่บ่อยเกินไป ส่วนในประเทศเวียดนามนั้น รัฐบาลเวียดนามได้มีการบังคับใช้ฎหมายห้ามการขับรถขณะมึนเมาฉบับใหม่ที่มีบทลงโทษรุนแรง โดยการบังคับใช้กฎหมายใหม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับการดื่มนอกบ้าน บริษัทเชื่อว่าการบริโภคแอลกอฮอล์ในประเทศเวียดนามจะค่อย ๆ ฟื้นตัวเนื่องจากผู้บริโภคจะปรับพฤติกรรมการบริโภคให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่
คาดว่าภาระหนี้จะลดลง
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3 ปี ข้างหน้า ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระดับ 2.183 แสนล้านบาทในปีการเงิน 2561 และปรับตัวลดลงเป็น 2.054 แสนล้านบาทในปีการเงิน 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับระหว่าง 1.8-1.7 แสนล้านบาทในปีการเงิน 2565 และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในปีการเงิน 2565 เมื่อเทียบกับระดับ 4.46 หมื่นล้านบาทในปีการเงิน 2562 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากผู้บริหารของบริษัทได้แสดงถึงความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำการลดภาระหนี้ลง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความตั้งใจดังกล่าวแล้ว ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับประมาณ 3.5 เท่าในปีการเงิน 2565 นอกจากนี้ บริษัทอาจจะสามารถลดภาระหนี้ได้เร็วกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งหากแผนการปรับมูลค่าสุทธิของกิจการ (Enterprise Value) ของบริษัท เช่น การจดทะเบียนธุรกิจเบียร์ในตลาดหลักทรัพย์ประสบความสำเร็จ
สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
บริษัทมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดย ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดจำนวน 2.56 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ไม่มีข้อผูกมัดจากสถาบันการเงินต่าง ๆ อีกประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังจัดหาวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงินแล้วอีกจำนวน 4 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอีกด้วย เมื่อรวมสภาพคล่องทั้งหมดของบริษัทแล้วคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้และการลงทุนของบริษัทในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้สินระยะยาวที่จะต้องชำระประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนในการใช้งบลงทุนไว้ที่จำนวนประมาณ 6.5 พันล้านบาทในปีการเงิน 2564 อีกด้วย
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ 1.38 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 3 เท่า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปีการเงิน 2563-2565 ดังต่อไปนี้
? รายได้จะลดลงประมาณ 5% ในปีการเงิน 2563 และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3%-4% ระหว่างปีการเงิน 2564-2565
? อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 17%-18%
? งบประมาณการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5-7 พันล้านบาทต่อปีในช่วงประมาณการ
? อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับ 3.5 เท่าในปีการเงิน 2565
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะผู้นำทั้งในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในประเทศและต่างประเทศได้ต่อไป อีกทั้งจะยังคงสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ลดลงได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับลดต่ำกว่า 2 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะไม่สามารถลดภาระหนี้ได้ตามเป้าหมายและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับเกินกว่า 3.5 เท่าเป็นเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ThaiBev)
อันดับเครดิตองค์กร: AA
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TBEV213A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 AA
TBEV233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 AA
TBEV253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 AA
TBEV283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 14,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 AA
TBEV213B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 31,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 AA
TBEV243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 AA
TBEV293A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 AA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable