ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อาร์ เอส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันทางธุรกิจที่มีส่วนผสมที่ดีของธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจสื่อ และธุรกิจเพลงของบริษัท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า กลยุทธ์ ?Entertainmerce? ที่ใช้ความชำนาญและช่องทางในธุรกิจสื่อและบันเทิงของบริษัทในการส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์นั้นจะช่วยสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่องให้แก่บริษัทในระยะปานกลาง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและภาระหนี้สินทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวก็ถูกลดทอนลงจากการที่บริษัทมีประสบการณ์ที่จำกัดในธุรกิจพาณิชย์ซึ่งมีการแข่งขันสูงมาก รวมถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในธุรกิจสื่อ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
กลยุทธ์ ?Entertainmerce? สนับสนุนสถานะทางธุรกิจ
การที่บริษัทเปลี่ยนจากธุรกิจสื่อและบันเทิงมาเน้นการดำเนินธุรกิจพาณิชย์นั้นช่วยให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้ในภาวะที่ธุรกิจสื่อแบบดั้งเดิมถดถอยลงและยังทำให้บริษัทมีรายได้ที่สม่ำเสมอในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย ทริสเรทติ้งมองว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจสื่อและบันเทิงรวมทั้งการมีช่องทางการเผยแพร่สื่อเป็นของตนเองของบริษัทจะยังคงช่วยสนับสนุนสถานะทางการตลาดในธุรกิจพาณิชย์ในระยะสั้นถึงปานกลางได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลงานในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นในธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทนั้นยังต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการที่จะพิสูจน์ความสามารถของบริษัทที่จะรักษาความสำเร็จในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมากดังกล่าวเอาไว้ได้ นอกจากนี้ รายได้ในธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทยังมาจากผู้ชมรายการทางโทรทัศน์เป็นหลักซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าจะเป็นความเสี่ยงในระยะยาวซึ่งบริษัทจำเป็นจะต้องแสวงหากลยุทธ์เพื่อรับมือกับการที่ผู้ชมรายการจะใช้เวลาดูโทรทัศน์น้อยลงเรื่อย ๆ
รายได้จะเติบโตจากธุรกิจพาณิชย์
ธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้จากธุรกิจพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านในปี 2562 จาก 232 ล้านบาทในปี 2558และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้จากธุรกิจพาณิชย์เติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับการเติบโตดังกล่าวจะยังคงต่อเนื่องต่อไปอีกในระยะปานกลาง
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทจะเติบโตประมาณ 10%-20% ต่อปีในช่วงปี 2563-2565 โดยการเติบโตนั้นคาดว่าจะมาจากการที่บริษัทเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทั้งนี้ บริษัทได้มีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังโทรทัศน์ระบบดิจิทัลช่องอื่น ๆ หรือแอพพลิเคชั่น COOLISM และเวบไซต์ของบริษัท รวมทั้งผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce) อื่น ๆ เพื่อให้เข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ในขณะที่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Predictive Dialing System และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้านั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กิจกรรมการขายและแนะนำผลิตภัณฑ์ทางโทรศัพท์ (Telemarketing) ของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องดื่มเสริมอาหาร (Functional Drink) อาหารเสริม (Food Supplement) และอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ดังกล่าว จะเน้นไปที่ ร้านสะดวกซื้อและร้านค้าปลีกทั่วไป ซึ่งยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับบริษัท ทั้งนี้ บริษัทอาจต้องใช้เวลาในการสร้างแบรนด์ สร้างความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงกำหนดสถานะทางการตลาดของตนเองเพื่อสู้กับคู่แข่ง
ธุรกิจสื่อช่วยส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์
ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจสื่อของบริษัททั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุนั้นจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคสื่อ และภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอซึ่งจะส่งผลกดดันต่อค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ภายใต้บริบทของกลยุทธ์ ?Entertainmerce? นั้น ธุรกิจสื่อถือว่ามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจพาณิชย์และส่งเสริมภาพรวมธุรกิจของบริษัท
รายได้จากธุรกิจสื่อของบริษัทลดลงในทิศทางเดียวกันกับอุตสาหกรรม กล่าวคือ ลดลงเหลือ 1.1 พันล้านบาทในปี 2562 จาก 2.1 พันล้านบาทในปี 2558 หรือลดลงโดยเฉลี่ย 15% ต่อปี ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้จากธุรกิจสื่อเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรืออยู่ที่ 852 ล้านบาท โดยที่รายได้ค่าโฆษณาที่ลดลงได้รับการชดเชยจากรายได้การจำหน่ายลิขสิทธ์คอนเทนท์ไปต่างประเทศและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (Over-The-Top Platform -- OTT) ต่าง ๆ ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจสื่อของบริษัทจะอยู่ที่ 750-930 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565 โดยอัตราค่าโฆษณาจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันของสื่อทุกรูปแบบและจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางต่อไป อย่างไรก็ตาม รายได้โฆษณาที่ลดลงน่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากการจำหน่ายลิขสิทธ์คอนเทนท์บนแพลตฟอร์มออนไลน์
การกลับมาของธุรกิจเพลง การจัดกิจกรรม
บริษัทจะกลับมาดำเนินธุรกิจเพลงอีกครั้งภายใต้รูปแบบที่การสร้างรายได้จะไม่ได้มาจากเฉพาะการจำหน่ายเพลงแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงรายได้ที่มาจากการบริหารศิลปินด้วย ตัวอย่างเช่น การสร้างมูลค่าแบรนด์ศิลปินผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ ศิลปินยังจะต่อยอดให้แก่ธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทอีกด้วย เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับศิลปินภายใต้แนวคิดหรือภาพลักษณ์ที่ตรงกับศิลปินนั้น ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะดำเนินธุรกิจจัดกิจกรรมให้มากขึ้นตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปโดยเฉพาะการจัดคอนเสิร์ต ในการนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากธุรกิจเพลงและการจัดกิจกรรมของบริษัทจะอยู่ที่ 250-280 ล้านบาทในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 450-550 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565
สถานะทางการเงินอยู่ในระดับดี
สถานะทางการเงินที่ดีของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานซึ่งอยู่ในระดับที่ดีและงบดุลที่แข็งแรง ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 2.8 พันล้านบาท ความสามารถในการทำกำไรก็อยู่ในระดับที่ดี โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 53.5% มีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 27.5% และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 760 ล้านบาท (ในการคำนวณของทริสเรทติ้ง ค่าตัดจำหน่ายของคอนเทนต์จะถูกคิดเป็นต้นทุนการดำเนินงาน)
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ 3.7-3.8 พันล้านบาทในปี 2563 และ 4.2-4.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 และคาดว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องโดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับประมาณ 50% ในช่วงประมาณการ โดยที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 25%-27% ซึ่งจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่จำนวน 0.9-1.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วรวม 1.2 พันล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับต่ำที่ 1.4 เท่า (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่บริษัทมีแผนลงทุนในการควบรวมและซื้อกิจการบางส่วน ซึ่งทริสเรทติ้งประมาณการว่ามูลค่าการควบรวมและซื้อกิจการจะอยู่ที่จำนวนโดยรวมประมาณ 1-1.5 พันล้านบาทในปี 2564 โดยคาดว่าบริษัทจะใช้เงินทุนจากเงินกู้จากธนาคาร ในขณะที่เงินลงทุนในสินทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 250-350 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565 ซึ่งจากแผนการลงทุนดังกล่าว ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับ 1.5-2.5 เท่าในปี 2563-2565
สภาพคล่องมีเพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้าโดยพิจารณาจากแหล่งเงินทุนและความต้องการใช้ โดยแหล่งเงินทุนหลักจะมาจากเงินสดในมือที่บริษัทมีอยู่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 จำนวน 151 ล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีอีกประมาณ 800 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 639 ล้านบาทและมีแผนการลงทุนอีกประมาณ 250-350 ล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ 3.7-3.8 พันล้านบาทในปี 2563 และ 4.2-4.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565
? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 25%-27% ในช่วงปี 2563-2565
? เงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 250-350 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2565
? มูลค่าการลงทุนซื้อและควบรวมกิจการจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 พันล้านบาทโดยรวมในปี 2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจและมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาวินัยทางการเงินโดยไม่เพิ่มภาระหนี้จนสูงเกินไปในการขยายธุรกิจ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้โดยไม่ทำให้โครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงอย่างมีสาระสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงเกินกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท อาร์ เอส จำกัด (มหาชน) (RS)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable