ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?A-? ซึ่งทริสเรทติ้งได้ประกาศผลไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วย
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนการมีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และการปรับกลยุทธ์ของบริษัทที่จะเป็นผู้ผลิตพลังงานแบบครบวงจรซึ่งมุ่งเน้นพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความผันผวนของราคาถ่านหินและอุปสงค์ถ่านหินที่ชะลอตัวในระยะยาวซึ่งปัจจัยผลักดันส่วนหนึ่งมาจากความพยายามในการลดมลพิษทางอากาศของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถ่านหินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริษัทเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย จีน และมองโกเลีย ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งสิ้น 592 ล้านตัน โดยบริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองอินโดนีเซียเทียบเท่ากับปริมาณการผลิตนานประมาณ 15 ปีและที่เหมืองออสเตรเลียมากกว่า 20 ปี ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมียอดขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลีย รวมทั้งจากกิจการค้าถ่านหินที่ประมาณ 33-35 ล้านตันในปี 2563
นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานลูกค้าที่หลากหลายอีกด้วย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ยอดขายของบริษัทประมาณ 23% มาจากลูกค้าในประเทศจีน ในขณะที่ 22% มาจากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น และ 19% มาจากลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนปริมาณถ่านหินที่เหลือนั้นบริษัทจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศออสเตรเลีย เกาหลี ไต้หวัน อินเดีย ไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คาดว่าอุปสงค์ถ่านหินจะเริ่มฟื้นตัวจากโควิด 19
อุปสงค์ถ่านหินคาดว่าจะฟื้นตัวเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้เริ่มคืนกลับมา ทั้งนี้ หลังจากที่หลายประเทศได้ผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 นั้น อุปสงค์ถ่านหินก็เริ่มฟื้นตัวซึ่งทำให้ดัชนีราคาถ่านหิน (Newcastle Coal Price Index) เพิ่มขึ้นเป็น 64.4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนพฤศจิกายน 2563 และแกว่งตัวอยู่ที่ราว ๆ 70-75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งดัชนีดังกล่าวฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 50.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนสิงหาคม 2563 ดัชนีราคาถ่านหินที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2563 นั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอุปสงค์ถ่านหินที่ลดลงเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวอย่างมากอันสืบเนื่องมาจากมาตรการปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งเริ่มต้นในปลายไตรมาสที่ 1 ของปี 2563
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 นั้น บริษัทมียอดขายถ่านหิน (ไม่รวมเหมืองในประเทศจีน) ลดลงประมาณ 6% เหลือประมาณ 25 ล้านตันจากประมาณ 27 ล้านตันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดขายถ่านหินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 34-35 ล้านตันต่อปีในช่วงปี 2564-2566 จากการคาดหมายว่าอุปสงค์ถ่านหินจะฟื้นตัว
ธุรกิจผลิตไฟฟ้ายังคงสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนให้แก่บริษัท
ธุรกิจผลิตไฟฟ้ายังคงเป็นแหล่งกระแสเงินสดที่แน่นอนของบริษัท ที่ผ่านมาบริษัทได้ทยอยขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าผ่าน บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปัจจุบันบริษัทบ้านปู เพาเวอร์ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในประเทศไทย รวมทั้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จีน และญี่ปุ่น โดยมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนทั้งสิ้น 3.0 กิกะวัตต์ และได้มีการเปิดดำเนินการไปแล้ว 2.4 กิกะวัตต์ ธุรกิจนี้มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นประมาณ 15%-20% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายรวมของบริษัท สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 นั้น บริษัทได้รับเงินปันผลจากการลงทุนใน บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด และ บริษัท หงสา เพาเวอร์ จำกัด ประมาณ 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นประมาณ 15%-20% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายรวมของบริษัทในช่วงปี 2563-2566
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มกำไรให้แก่บริษัท
บริษัทได้ทำธุรกรรมซื้อสินทรัพย์ในแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ Barnett Shale ในประเทศสหรัฐฯ เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 หลังจากที่ได้ออกประกาศไปเมื่อช่วงปลายปี 2562 โดยมูลค่าการลงทุนนี้ได้ปรับลดลง 26% เหลือ 570 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมูลค่า 770 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงราคาก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงปี 2563 อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจะมีภาระต้องจ่ายชำระเงินจำนวนไม่เกิน 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่ผู้ขายสินทรัพย์ในระยะ 4 ปีข้างหน้าถ้าหากราคาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าราคาอ้างอิงที่ใช้ในการประเมินมูลค่าใหม่นี้
การซื้อสินทรัพย์ Barnett Shale นี้ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติให้แก่บริษัทอีกประมาณ 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันจากเดิมที่ผลิตได้จากแหล่ง Marcellus ที่ประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน นอกจากนี้ แหล่งดังกล่าวยังช่วยเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วให้แก่บริษัทอีกประมาณ 3.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตจาก 1.0 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อีกด้วย
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าการซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้จะสามารถเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทได้ประมาณ 100-130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2564-2566 โดยประมาณการนี้อยู่บนสมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติอ้างอิง (Henry Hub Natural Gas Price) ที่ประมาณ 2.5-2.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู (British Thermal Unit --- BTU) ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งราคาก๊าซธรรมชาติอ้างอิงนี้ฟื้นตัวจากราคาต่ำสุดที่ประมาณ 1.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในเดือนมิถุนายน 2563 มาอยู่ที่ราว ๆ 2.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในเดือนพฤศจิกายน 2563
ทริสเรทติ้งมองว่าการขยายตัวของธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากอุปสงค์ถ่านหินที่มีแนวโน้มลดลงในระยะยาวได้ในระดับหนึ่ง ในการนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 20%-25% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายรวมของบริษัทในช่วงปี 2564-2566
คาดว่ากำไรของบริษัทจะดีขึ้นในปี 2564
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลง 38% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเหลือ 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทมีรายได้เงินปันผลจากบริษัทบีแอลซีพีที่ลดลงเป็นหลัก ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 นั้น บริษัทบีแอลซีพีจ่ายเงินปันผลพิเศษให้แก่บริษัทเป็นจำนวนถึง 237 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเงินปันผลปกติที่บริษัทได้รับที่จำนวน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 นอกจากนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากราคาและยอดขายถ่านหินที่ลดลง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ดัชนีราคาถ่านหิน Newcastle ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ประมาณ 58.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ในขณะที่ราคาจำหน่ายถ่านหินโดยเฉลี่ยของบริษัทลดลง 20% เหลือประมาณ 54 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ลดลงประกอบกับการปรับแผนการทำเหมืองเพื่อลดอัตราส่วนของปริมาณดินที่ต้องขุดออกเพื่อให้ได้ถ่านหิน 1 ตัน (Stripping Ratio) สำหรับเหมืองถ่านหินอินโดนีเซียก็มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ลดลงได้ในระดับหนึ่ง โดยกำไรขั้นต้นในธุรกิจถ่านหินของบริษัทลดลงเหลือประมาณ 20% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เมื่อเทียบกับประมาณ 26% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทริสเรทติ้งประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะฟื้นตัวในปี 2564 เป็นต้นไป โดยคาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 450-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 600-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่ประเมินว่าราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564
สำหรับธุรกิจถ่านหินนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสัดส่วนถ่านหินที่มีค่าความร้อนสูงเพิ่มมากขึ้นจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียของบริษัทซึ่งจะช่วยเพิ่มราคาจำหน่ายถ่านหินโดยเฉลี่ยให้แก่บริษัท ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะยังคงความพยายามในการเพิ่มกำไรขั้นต้นในธุรกิจถ่านหินให้เป็นประมาณ 20%-25% ในช่วงปี 2564-2566
รายได้ของบริษัทจะมีสัดส่วนจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากการซื้อสินทรัพย์ในแหล่ง Barnett Shale เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยสินทรัพย์ใหม่นี้จะสามารถสร้างกำไรให้แก่บริษัทได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป
ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทประมาณ 150-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2564-2566 ในขณะที่เงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนและธุรกิจไฟฟ้านั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 75-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2563-2566
ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นหลังจากการซื้อ Barnett Shale
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2563 จากการซื้อสินทรัพย์ในแหล่ง Barnett Shale รวมถึงจะได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เมื่อพิจารณาจากค่าใช้จ่ายตามแผนการลงทุนและประมาณการแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60%-65% ในปี 2563 และจะปรับตัวดีขึ้นเป็นประมาณ 58%-63% ในช่วงปี 2564-2566 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 9 เท่าในปี 2563 ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ในระดับสูงเพียงชั่วคราวเท่านั้นเนื่องจากเป็นผลกระทบจากโรคโควิด 19 และการรับรู้กำไรจากสินทรัพย์ Barnett Shale ที่ล่าช้า โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับราว ๆ 6 เท่าในปี 2565 และจะอยู่ในช่วง 4-6 เท่าในระยะปานกลางถึงระยะยาว
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ราคาดัชนีถ่านหิน Newcastle จะอยู่ที่ระหว่าง 59-60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ระหว่าง 60-65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงปี 2564-2566
? ราคาก๊าซธรรมชาติอ้างอิง Henry Hub จะอยู่ที่ประมาณ 1.9-2.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2.5-2.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในปี 2564-2566
? ยอดขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 34-35 ล้านตันต่อปีในปี 2564-2566
? ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2563-2566 ซึ่งรวมการชำระเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ในแหล่ง Barnett Shale ที่ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถ่านหินต่อไป โดยเงินปันผลรับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มั่นคงและกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมถ่านหินได้บางส่วน ในขณะที่สภาพคล่องทางการเงินที่ดีจากการมีวินัยทางการเงินและการบริหารเงินสดที่ระมัดระวังจะช่วยให้บริษัทสามารถประคองตัวผ่านพ้นสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมมีความผันผวนไปได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังคงมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า แต่อาจได้รับการปรับขึ้นได้หากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือมีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้เป็นอย่างมาก ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดไว้ นอกจากนี้ การลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มจนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญและอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 12 กันยายน 2561
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BANPU214A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+
BANPU225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+
BANPU234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
BANPU247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+
BANPU257A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+
BANPU264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+
BANPU274A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+
BANPU295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A+
BANPU234B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไถ่ถอนปี 2566 A+
BANPU288A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไถ่ถอนปี 2571 A+
หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท
และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable