ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางธุรกิจในระดับปานกลาง ฐานทุน ภาระหนี้ และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง สถานะทางความเสี่ยงที่เข้มแข็ง และสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องในระดับที่บริหารจัดการได้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจระดับปานกลาง
สถานะทางธุรกิจของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากบทบาทเฉพาะของบริษัทในฐานะสถาบันสินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์แห่งเดียวในประเทศไทยซึ่งมีพันธกิจในการเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และเป็นกลไกสนับสนุนในการพัฒนาตลาดทุนของประเทศไทย
เสถียรภาพทางธุรกิจของบริษัทถูกกำหนดด้วยลักษณะการทำธุรกิจซึ่งเน้นการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ส่งผลให้ขนาดของธุรกิจและรายได้แปรผันตามสภาพตลาดหุ้นและความต้องการของนักลงทุน ตัวอย่างเช่น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท ลดลง 30% จาก 3.7 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงและนักลงทุนมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2563
การที่บริษัทมีสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นแหล่งรายได้หลัก สถานะทางธุรกิจของบริษัทจึงได้รับผลกระทบจากการที่ธุรกิจยังขาดความหลากหลาย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์มีสัดส่วน 87% ของรายได้รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้จากแหล่งอื่น ๆ ยังคงมีสัดส่วนที่จำกัด ซึ่งรวมไปถึงรายได้จากสินเชื่อที่ให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ (10% ของรายได้รวม) และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ (0.1% ของรายได้รวม) ในระยะยาวหากบริษัทยังคงมีการกระจายของแหล่งรายได้ที่จำกัด ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากความต้องการสินเชื่อเพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่จะลดลงเนื่องจากความต้องการของนักลงทุนที่อาจจะค่อยๆ ผันไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นแทน
เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางธุรกิจ บริษัทได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยและบริษัทหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ด้วยพันธกิจในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ทริสเรทติ้งมองว่าการเพิ่มเสถียรภาพทางธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญนั้นอาจเป็นความท้าทาย ดังนั้นการกระจายรายได้อย่างมีนัยสำคัญเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดพัฒนาการด้านสถานะทางธุรกิจของบริษัทพอที่จะนำไปสู่การปรับอันดับเครดิตในทางบวก
ฐานทุน ภาระหนี้ และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีฐานทุนและภาระหนี้ที่แข็งแกร่งโดยวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงโดยเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) ที่ประมาณ 22% ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงสถานะฐานทุนและภาระหนี้ไว้ที่ระดับปัจจุบันในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากการขยายสินเชื่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป นโยบายการลงทุนที่ระมัดระวังและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัทยังมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไป (NCR) ในระดับที่แข็งแรงที่ 107.6% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 เนื่องจากการหดตัวของสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ในเวลาปกติอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 50%-60%
ในเชิงความสามารถในการทำกำไรนั้น บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 43 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 32% จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 สาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงจากเงินให้สินเชื่อที่หดตัว
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) ของบริษัทจะอยู่ที่ 1.3% ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัทในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะดำรงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันเนื่องจากการสร้างกำไรสูงสุดไม่ใช่จุดมุ่งหมายหลักของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้ดำเนินการเพื่อลดต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและการแข่งขันทางธุรกิจในตลาด
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีอัตราดอกเบี้ยรับโดยเฉลี่ยที่ลดลงมาอยู่ที่ 4.7% จาก 5.9% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 สาเหตุหลักจากการที่บริษัทได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลงเพื่อให้สัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยในตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามากขึ้น ในขณะเดียวกัน ต้นทุนทางการเงินของบริษัทก็ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จาก 2.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 เป็นผลรวมของการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลงและสถานะด้านเครดิตของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ที่ 3.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาต้นทุนทางการเงินให้อยู่ที่ระดับต่ำได้ในระยะปานกลาง โดยสถานะด้านแหล่งเงินทุนอาจปรับตัวดีขึ้น จากความสัมพันธ์กับธนาคารออมสินซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้บริษัทสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนระยะยาวได้เพิ่มเติมด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
ในด้านค่าใช้จ่าย บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 47.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จากระดับประมาณ 37%-40% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของรายได้ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานค่อนข้างคงที่ จากความพยายามในการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงและกลับสู่ระดับปกติเมื่อรายได้ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การลดลงของอัตราส่วนดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากสถานะฐานทุนและภาระหนี้ในระดับปัจจุบันของบริษัทแล้ว อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของบริษัทจะต้องปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจึงจะทำให้อันดับเครดิตมีการเปลี่ยนแปลงในทางบวกได้
สถานะความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง
สถานะความเสี่ยงที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทผ่านคณะกรรมการบริษัท ซึ่งนโยบายดังกล่าวรวมไปถึงการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุม การบังคับหลักประกันที่เข้มงวดซึ่งช่วยลดทอนความเสี่ยงทางด้านเครดิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายหนี้สูญเพิ่มเติมแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงในช่วงเดือนมีนาคม 2563 อีกทั้ง ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ของบริษัทยังอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากพอร์ตเงินลงทุนของบริษัทมีขนาดเล็กและส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลที่ใช้เพื่อการบริหารสภาพคล่องเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดโดยคณะกรรมการบริษัท ทั้งนี้ เงินลงทุนของบริษัทคิดเป็นเพียง 4% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 โดย 94% ของเงินลงทุนดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
สถานะการจัดหาแหล่งเงินทุนที่จัดการได้และการมีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสถานะด้านเงินทุนและสภาพคล่องในระดับที่บริหารจัดการได้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากความไม่สอดคล้องกันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินในระดับหนึ่ง บริษัทพึ่งพาเงินกู้ยืมระยะสั้นหมุนเวียนผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเป็นแหล่งเงินทุนหลัก ซึ่งช่วยให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่การใช้เงินทุนส่วนใหญ่เป็นการให้สินเชื่อแก่นักลงทุนเพื่อซื้อหลักทรัพย์ โดยเป็นสินเชื่อที่มีอายุเกินกว่า 1 ปี เป็นไปตามพฤติกรรมของลูกค้าของบริษัทซึ่งมักจะเป็นนักลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่มีความกังวลในเรื่องความไม่สอดคล้องกันดังกล่าวเนื่องจากบริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอ ณ สิ้นเดือนกันยายน ปี 2563 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อทั้งหมดประมาณ 6 พันล้านบาท ทั้งนี้ โดยเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) อัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Stable Funding Ratio -- SFR) ซึ่งพิจารณาถึงแหล่งเงินทุนระยะยาวและส่วนของเจ้าของของบริษัท อยู่ในระดับที่เพียงพอที่ 104.8% จากฐานทุนที่แข็งแกร่ง ในอนาคต บริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะยาวเพื่อแก้ไขความไม่สอดคล้องกันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สิน ถึงแม้ว่าการเพิ่มสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะยาวดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพปรับตัวดีขึ้นแต่ก็ไม่น่าส่งผลกระทบในทางบวกต่อสถานะเงินทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับผลการดำเนินงานบริษัทในระหว่างปี 2563-2566 มีดังนี้
? สินเชื่อรวมอยู่ที่ประมาณ 3.5-5 พันล้านบาท
? ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับประมาณ 3%-4%
? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ระดับประมาณ 38%-43%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงสถานะฐานทุนและความสามารถในการทำกำไร และสถานะเงินทุนและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มการกระจายตัวของโครงสร้างรายได้ได้อย่างมีนัยสำคัญหรือมีฐานทุน ภาระหนี้และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งมากขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีฐานทุน ภาระหนี้ และความสามารถในการทำกำไรที่เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญและมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงต่ำกว่า 15% ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (TSFC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable