ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมทีวีและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากมาตรการลดต้นทุนต่าง ๆ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการรับสื่อของผู้ชมและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมสื่อที่มีภาวะแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนไป รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอยังคงเป็นปัจจัยกดดันด้านรายได้ของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้ลดลงอย่างมากจากผลกระทบของโรคโควิด 19 แต่คาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัว
ในปี 2563 รายได้ของบริษัทลดลง 30% จากปีก่อนหน้าลงมาอยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท เทียบกับ 8.4 พันล้านบาทในปี 2562 โดยรายได้ที่ลดลงดังกล่าวเป็นผลจากภาวะความไม่แน่นอน และสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่สดใสอันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ผู้ประกอบการลดงบใช้จ่ายทางการตลาด และใช้งบโฆษณาอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและโชว์ที่หายไปก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้รายได้ของบริษัทลดลง
ในขณะที่ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการใช้สื่อโฆษณาจะฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า หลังจากที่ความกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด 19 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่มุมมองต่อการฟื้นตัวดังกล่าวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากสถาณการณ์เกี่ยวกับโรคโควิด 19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความอ่อนไหว พฤติกรรมในการรับชมสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และการแข่งขันจากทุก ๆ สื่อจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อรายได้โฆษณาของบริษัท
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 5.4-5.7 พันล้านบาท ในระหว่างปี 2564-2566 โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ค่าโฆษณาจะฟื้นตัวในระดับปานกลางจากการที่ผู้บริโภคจะมีความต้องการใช้จ่ายและสินค้าต้องการการโฆษณามากขึ้น ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถขึ้นราคาค่าโฆษณาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาไพรมไทม์ (Prime Time) ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทฉายละครที่เคยออกอากาศไปแล้วราว ๆ 1 ใน 3 ของละครที่ออกอากาศทั้งหมด ในขณะที่บริษัทจะฉายละครใหม่เป็นหลักในปีนี้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่า รายได้จากการขายลิขสิทธิ์รายการไปในต่างประเทศและช่องทางออนไลน์จะเติบโตประมาณ 10%-15% ต่อปี สมมติฐานข้างต้นยังพิจารณาถึงการที่บริษัทขายเงินลงทุนใน บริษัท เทโร เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (ชื่อเดิม บีอีซี เทโร เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)) ออกไปในช่วงปลายปี 2563
ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นจากการจัดการต้นทุน
บริษัทได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นแม้ว่ารายได้จะลดลง อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท อยู่ที่ 7.8% ในปี 2563 เทียบกับ 4.9% ในปี 2562 ซึ่งในการวิเคราะห์ของทริสเรทติ้ง ค่าตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการจะถูกคิดเป็นต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัท และไม่ได้ถูกบวกกลับในการคำนวณกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนการดำเนินงานหลัก ๆ ที่ลดลงคือ ค่าใช่จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายด้านโครงข่ายหลังจากที่บริษัทยุติการออกอากาศผ่านระบบอนาล็อก นอกจากนี้ การที่บริษัทนำละครที่เคยออกอากาศแล้วกลับมาออกอากาศซ้ำก็ช่วยเรื่องต้นทุนได้บางส่วน
ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงข่ายที่ลดลงจะถูกทดแทนด้วยต้นทุนรายการที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 เนื่องจากบริษัทมีแผนจะลดจำนวนละครที่เคยออกอากาศแล้วลงจำนวนมาก สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 7%-9% ในช่วงปี 2564-2566 โดยอัตรากำไรดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 400-500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
สถานะการเงินที่แข็งแกร่ง
สถานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทช่วยสนับสนุนสถานะทางการเงินโดยรวม ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 769 ล้านบาท ลดลงจาก 1.2 พันล้านบาทในปี 2562 และมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 1.7 เท่าในปี 2563 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในปี 2563 บริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.8-1.2 เท่าในปี 2565-2566 โดยสมมติฐานดังกล่าวรวมการคาดการณ์ที่ว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนประมาณ 100-140 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2566
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้าโดยพิจารณาจากแหล่งที่มาและแผนการใช้เงินทุนของบริษัท ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 300 ล้านบาทและมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2563 อีกจำนวน 2.6 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระทางการเงินรวม 77 ล้านบาทและมีแผนลงทุนประมาณ 140 ล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? บริษัทจะมีรายได้ 5.4-5.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 7%-9% ในปี 2564-2566
? บริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 100-140 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะผู้นำทางธุรกิจและรักษาฐานะการเงินที่แข็งแกร่งได้ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทสามารถแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของภูมิทัศน์สื่อ และผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและขนาดของรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องของงบโฆษณาหรือจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจและรูปแบบสื่ออื่น ๆ ที่สามารถทดแทนกันได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable