ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่แข็งแกร่งขึ้นทั้งในส่วนของยอดขายและเครือข่ายสถานีบริการ ตลอดจนผลการดำเนินงานที่มั่นคงแม้จะมีผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ก็ตาม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและราคาน้ำมันที่ผันผวน ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงหนี้สินทางการเงินของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่ครอบคลุม
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ?PT? ในเชิงรุก โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการขยายสถานีบริการโดยเฉลี่ยปีละกว่า 189 แห่ง ทำให้ ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 2,094 แห่ง โดยจำแนกเป็นสถานีบริการน้ำมัน 1,888 แห่ง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Petroleum Gas ? LPG) 81 แห่ง และสถานีบริการที่ให้บริการทั้งน้ำมันและก๊าซ LPG อีก 125 แห่ง ด้วยการเติบโตดังกล่าวจึงทำให้บริษัทมีเครือข่ายสถานีบริการมากเป็นอันดับ 2 รองจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)
ในการขยายช่องทางการจำหน่ายนั้น บริษัทได้ชักจูงสถานีบริการที่มีสัญญากับผู้ค้าปลีกน้ำมันรายอื่นซึ่งกำลังจะหมดอายุให้เปลี่ยนมาให้บริการภายใต้การดูแลของบริษัท ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยลดต้นทุนการลงทุนของบริษัทและลดระยะเวลาการก่อสร้างสถานีใหม่ลง
เริ่มเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภครู้จัก
นอกเหนือจากการขยายสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่องแล้ว ทริสเรทติ้งมองว่าแบรนด์ ?PT? ของบริษัทยังเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย บริษัทเน้นการขยายสาขาใหม่ ๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้มีการจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อใช้ในการปรับปรุงสถานีบริการที่มีอยู่ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นด้วย กลยุทธ์ทางการตลาดเหล่านี้ไม่เพียงจะทำให้บริษัทมียอดขายมากยิ่งขึ้นแล้ว แต่ยังช่วยให้บริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่น่าสนใจอื่น ๆ แก่ลูกค้า เช่น ร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ และศูนย์บริการรถยนต์ได้มากขึ้นด้วย
การส่งเสริมการตลาดที่สำคัญของบริษัทยังมี ?PT Max Card? ซึ่งเป็นระบบบัตรที่ให้สมาชิกสามารถสะสมคะแนนเพื่อรับส่วนลดและของรางวัลอีกด้วย เมื่อปี 2563 บริษัทมีจำนวนสมาชิก PT Max Card เพิ่มขึ้นถึง 14.8 ล้านรายจากจำนวน 12.6 ล้านรายในปี 2562 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (E-service) เช่น บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money Service) และการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่สมาชิกอีกด้วย
เป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันรายใหญ่อันดับสอง
สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐช่วยให้อุปสงค์น้ำมันที่ลดลงยังคงรักษาระดับอยู่ได้ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ปริมาณการบริโภคน้ำมันรายย่อยในประเทศไทยในปี 2563 ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับในปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการในปี 2563 ได้ถึง 4.74 พันล้านลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 8.1% เมื่อเทียบกับในปี 2562
การมียอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในลำดับที่สองในตลาดค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดยทริสเรทติ้งจะเห็นว่าบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดของตลาดค้าปลีกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 16% ในปี 2563 จาก 14% ในปี 2562 ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัททั้งในแง่ของจำนวนสถานีบริการและยอดขายน้ำมันด้วย โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคตอันใกล้
นอกเหนือจากธุรกิจน้ำมันแล้ว บริษัทยังมีการขยายธุรกิจก๊าซ LPG อย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดยในปี 2563 บริษัทมีสถานีบริการก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นอีก 23 แห่งซึ่งส่งผลให้บริษัทมียอดขายก๊าซ LPG สำหรับรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 152 ล้านลิตรจาก 134 ล้านลิตรในปี 2562
ความพยายามในการขยายธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน
เช่นเดียวกับผู้ค้าปลีกน้ำมันรายอื่น ๆ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะขยายสู่ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมันเพื่อให้มีธุรกิจที่หลากหลายและลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน ซึ่งโดยปกติแล้วธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมันจะมีสัดส่วนกำไรที่สูงกว่าธุรกิจน้ำมัน บริษัทมีแผนการจะขยายเครือข่าย ?ร้านกาแฟพันธุ์ไทย? ให้มากยิ่งขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในและนอกสถานีบริการของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายการลงทุนไปในธุรกิจบริการรถยนต์อีกด้วย โดยในปี 2563 บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็นจำนวน 76.52% ใน บริษัท สยามออโต้แบคส์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ จากเดิมที่ถืออยู่ 38.26% ในขณะเดียวกัน บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายก๊าซ LPG โดยการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายก๊าซ LPG ให้แก่ลูกค้าในภาคครัวเรือนให้เป็น 40%-50% ของยอดขาย LPG ทั้งหมดด้วยเช่นกัน ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมันของบริษัทจะเติบโตสอดคล้องไปกับจำนวนสถานีบริการ PT ที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างไรก็ตาม รายได้หลักของบริษัทจะยังคงมาจากธุรกิจน้ำมันเช่นเดิม
ผลการดำเนินงานเข้มแข็งแม้จะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19
แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 แต่บริษัทก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งได้คาดการณ์ไว้ โดยในปี 2563 บริษัทมียอดขายน้ำมันที่ลดลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ที่เกิดจากมาตรการปิดเมืองเพียงในแค่ระยะสั้น ในขณะที่บริษัทมียอดขายน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน การที่บริษัทมีรายได้ลดลง 12.6% มาอยู่ที่ 1.05 แสนล้านบาทนั้นเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากเป็นหลักจนส่งผลให้บริษัทต้องเร่งปรับลดงบประมาณการลงทุนและรายจ่ายลง ในการนี้ บริษัทมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 5.9 พันล้านบาทซึ่งสูงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้
ในอนาคตทริสเรทติ้งมองว่ายอดขายน้ำมันของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ายอดขายน้ำมันของบริษัทจะเติบโตขึ้นประมาณ 7% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยประมาณการว่าค่าการตลาดในภาพรวมของบริษัท (รวมการขายปลีกและขายส่ง) จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.85 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 5.8-6.7 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
การแข่งขันที่รุนแรง
ทริสเรทติ้งมองว่าภาวะการแข่งขันที่สูงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะเป็นข้อจำกัดสำคัญต่ออันดับเครดิตของบริษัท บรรดาผู้ค้าปลีกน้ำมันต่างก็แข่งขันกันทั้งในเรื่องของราคาขายน้ำมันโดยผ่านการรณรงค์ส่งเสริมการขายต่าง ๆ และการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายในสถานีบริการน้ำมันของตนเอง ทั้งนี้ ผู้ค้าปลีกน้ำมันรายใหญ่ยังคงขยายเครือข่ายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันงบประมาณการลงทุนในการเปิดสถานีบริการแห่งใหม่ ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเนื่องจากผู้ค้ามีความต้องการที่จะสร้างความแตกต่างและเสนอบริการต่าง ๆ ให้มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยสถานีบริการน้ำมันสมัยใหม่จะมีบริการเพิ่มมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของร้านอาหารแฟรนไชส์ ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ และศูนย์บริการรถยนต์ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ค้าปลีกน้ำมันในการที่จะลดต้นทุนในการดำเนินงานลงในขณะที่ยังจะต้องรักษาคุณภาพของการให้บริการและคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้
แม้แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้นจากการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน แต่ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าโรคโควิด 19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อการเดินทางสัญจรต่อไปในระยะสั้น ในขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบางน่าจะยังคงปิดกั้นการเติบโตของอุปสงค์การใช้น้ำมันซึ่งมีแนวโน้มที่จะฉุดรั้งกำไรของผู้ค้าปลีกน้ำมันลง
ความผันผวนของราคาน้ำมัน
ทริสเรทติ้งมองว่าราคาน้ำมันที่มีความผันผวนเป็นอย่างมากน่าจะส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากอาจทำให้ค่าการตลาดของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ากรณีดังกล่าวจะมีผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น โดยทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะยังคงมีการบริหารจัดการน้ำมันสำรองคงคลังที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะช่วยลดการขาดทุนจากการสำรองน้ำมันลงได้ในยามที่ราคาน้ำมันมีความผันผวน
บริษัทยังมีความอ่อนไหวต่อผลกระทบด้านนโยบายของรัฐบาลเช่นการแทรกแซงราคาน้ำมันในกรณีที่ภาครัฐมีการออกระเบียบในการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตรเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบแก่ผู้ใช้น้ำมันดีเซลอีกด้วย โดยระเบียบดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าปลีกน้ำมันลดลง ทั้งนี้ ค่าการตลาดของบริษัทมีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นเนื่องจากสินค้าหลักของบริษัทคือน้ำมันดีเซลซึ่งมีสัดส่วนที่สูงถึง 73% ของยอดขายน้ำมันรวมของบริษัทในปี 2563 ในขณะที่ผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ยังคงดำเนินอยู่นั้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการเดินทางของประชาชนค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติตามความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนทั่วโลก
แนวโน้มหนี้สินจะปรับตัวสูงขึ้น
ในปี 2563 บริษัทได้มีการลดงบประมาณการลงทุนลงเพื่อรักษาสภาพคล่องเอาไว้ในช่วงที่ความวิตกกังวลเรื่องโรคโควิด 19 อยู่ในระดับสูงสุด การปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้ว(รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า)ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 จาก 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2562 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 78.3% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.9 เท่าในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมีข้อสังเกตว่าระดับกระแสเงินสดของบริษัทเมื่อเทียบกับระดับหนี้สินยังมีความเหมาะสมกับอันดับเครดิตของบริษัทอยู่
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะกลับมาขยายธุรกิจต่อไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าบริษัทจะเพิ่มสถานีบริการอีก 140 แห่งและจะยังคงทำการปรับปรุงสถานีบริการที่มีอยู่ในปัจจุบันไปพร้อมกันด้วย ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นที่ระดับ 3.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 76%-78% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 5-5.4 เท่าในช่วงปี 2564-2566
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่จัดการได้
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ประมาณ 4.3-5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2564-2566 และจะมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 13%-14% ทั้งนี้ ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2563 ระบุว่าบริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2.3 พันล้านบาทและเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 1.5 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในปี 2564 สำหรับสภาพคล่องนั้น บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ประมาณ 942 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และเงินทุนจากการดำเนินงานในอีก 12 เดือนข้างหน้าซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดหาเงินกู้เพื่อทดแทนหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระเกือบทั้งหมดเพื่อใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจตามแผน ทั้งนี้ หากพิจารณาจากโอกาสทางธุรกิจที่เป็นไปในทางบวกแล้วทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงในการหาเงินกู้ทดแทนของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ยอดขายน้ำมันจะเติบโตประมาณ 7% ต่อปีโดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการขยายสถานีบริการใหม่ ๆ
? ราคาจำหน่ายน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 3.3% ในปี 2564 และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 5.5% ในปี 2565 และหลังจากนั้นจะคงอยู่ในระดับเดิมไปจนถึงปี 2566
? รายได้จะปรับเพิ่มขึ้น 10% ในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2565 และ 7% ในปี 2566
? ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันโดยรวมของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.85 บาทต่อลิตร
? เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับหนี้สินทางการเงินและกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับระดับหนี้สินได้ตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีโอกาสเกิดขึ้นได้หากบริษัทยังคงเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดและมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่สถานะทางการเงินของบริษัทแย่ลงเป็นอย่างมากหากบริษัทมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อการลงทุน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
PTG233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable