ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. สามารถเทลคอม” ที่ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 9, 2021 14:49 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทลูกหลัก (Core Subsidiary) ของ บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการดำเนินโครงการภาครัฐ และการมีความเสี่ยงด้านการเงินในระดับที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทนั้น ทริสเรทติ้งยังคำนึงถึงการที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะมีความผันผวนสูงขึ้นจากการที่บริษัทมีรายได้ประจำที่มาจากสัญญาให้บริการลดลงและความไม่แน่นอนของธุรกิจการค้าและรับเหมาติดตั้งระบบที่ขึ้นอยู่กับงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภาครัฐเป็นอย่างมากอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น

อันดับเครดิตของบริษัทเชื่อมโยงกับสถานะเครดิตของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น โดยทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทเป็นบริษัทลูกหลักของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 71% และบริษัทยังเป็นผู้สร้างรายได้หลักของบริษัทแม่ รวมทั้งผู้บริหารและกลยุทธ์ของบริษัททั้ง 2 แห่งยังมีบูรณาการร่วมกันในระดับสูงอีกด้วย นอกจากนี้ ในการประเมินอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงการพึ่งพาอาศัยกันในระดับสูงระหว่างทั้ง 2 บริษัทด้วยเช่นกัน ซึ่งตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้งนั้น อันดับเครดิตของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น

ผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคโควิด 19

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัทลดลง 40% มาอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับ 9.1 พันล้านบาทในปี 2562 มาตรการจำกัดการเดินทางจากต่างประเทศกระทบต่อรายได้จากงานบริการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับจำนวนของผู้โดยสารในสนามบินที่ดำเนินงานโดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เช่น โครงการ Advance Passenger Processing System (APPS) และโครงการ Common Use Terminal Equipment (CUTE)

รายได้ที่เกี่ยวข้องกับงานให้บริการในสนามบินของบริษัทลดลง 67% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ประมาณ 0.6 พันล้านบาท เทียบกับ 1.7 พันล้านบาทในปี 2562 นอกจากนี้ โรคโควิด 19 ยังก่อให้เกิดความไม่แน่นอนและความล่าช้าในการประมูลโครงการหลาย ๆ โครงการซึ่งส่งผลให้มูลค่าโครงการใหม่ของบริษัทที่มีการลงนามในสัญญาอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 โดยในปี 2563 โครงการใหม่ที่บริษัทมีการลงนามในสัญญามีมูลค่าเพียง 2.5 พันล้านบาทเท่านั้นเมื่อเทียบกับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2562 และ 7.7 พันล้านบาทในปี 2561

ผลการดำเนินงานมีความเสี่ยงที่จะผันผวนมากขึ้นจากการลดลงของรายได้จากงานบริการ

ในระยะหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากสัญญาให้บริการปีละ 3-3.5 พันล้านบาทซึ่งช่วยเสริมให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทมีความมั่นคง อย่างไรก็ตาม รายได้จากสัญญาให้บริการซึ่งเป็นรายได้ประจำของบริษัทคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณปีละ 1.9-2.2 พันล้านบาทในระหว่างปี 2564-2566 โดยรายได้ที่ลดลงดังกล่าวมาจากการที่สัญญาให้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน ได้แก่ โครงการ APPS และ CUTE ไม่ได้รับการต่อสัญญา

ด้วยการมีรายได้จากสัญญาให้บริการที่ลดลงทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทมีความเสี่ยงที่จะผันผวนมากขึ้นซึ่งเป็นธรรมชาติของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบที่มีลักษณะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว อีกทั้งยังมีขนาดของมูลค่าโครงการที่แตกต่างกันอย่างมาก และมีอายุโครงการที่ค่อนข้างสั้นตั้งแต่ 6-18 เดือน ปัจจัยดังกล่าวสร้างความท้าทายให้บริษัทต้องแสวงหาโครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนและบางครั้งก็มีความไม่ต่อเนื่องในการจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภาครัฐอีกด้วย

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.5-6.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566 โดยได้พิจารณารวมถึงมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) ณ สิ้นปี 2563 ที่ประมาณ 6.5 พันล้านบาทด้วย ซึ่งมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบประมาณ 2.4 พันล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2564 และอีก 1.2 พันล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2565 และอีกประมาณ 0.9 พันล้านบาทในปี 2566

ความสามารถในการทำกำไรอ่อนแอลง

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงอย่างมากในปี 2563 โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15.8% เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 19.1% ในปี 2562 ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลง 51% มาอยู่ที่ 860 ล้านบาทในปี 2563 จาก 1.7 พันล้านบาทในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะอ่อนแอลงจากการที่สัญญาให้บริการงานที่สนามบินซึ่งมีอัตรากำไรสูงยุติลง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับ 7%-9% ในปี 2564 และ 10%-13% ในระหว่างปี 2565-2566 อีกทั้งคาดหมายว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 450-500 ล้านบาทในปี 2564 และ 650-700 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2566 โอกาสที่รายได้ของบริษัทจะสูงกว่าประมาณการนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทในการประมูลได้โครงการใหม่ ๆ เข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เป็นสัญญาให้บริการซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าโครงการประเภทรับเหมาติดตั้งระบบ

ภาระหนี้และสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในปี 2563 โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 1.4 เท่า อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ โดยคาดว่าบริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 1.6 พันล้านบาทในปี 2564 กับอีกประมาณ 650 ล้านบาทในปี 2565 และประมาณ 300-400 ล้านบาทในปี 2566 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5 เท่าในปี 2564 และที่ระดับประมาณ 4 เท่าในระหว่างปี 2565-2566

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 350 ล้านบาท รวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 625 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ตลอดจนวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 1.5 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีหนี้ที่จะต้องชำระคืนรวมประมาณ 1.5 พันล้านบาทและมีแผนลงทุนรวมมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าแหล่งเงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากเงินกู้โครงการ

เนื่องจากภาระหนี้ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้นและเป็นเงินกู้โครงการซึ่งมีการโอนสิทธิ์รับเงินไปที่เจ้าหนี้โครงการ ดังนั้น เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทจึงอาจมีสถานะที่ด้อยสิทธิ์กว่าเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันหรือเจ้าหนี้โครงการ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? บริษัทจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.5-6.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2564-2566

? อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 7%-9% ในปี 2564 และ 10%-13% ในระหว่างปี 2565-2566

? บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.6 พันล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 650 ล้านบาทในปี 2565 และประมาณ 300-400 ล้านบาทในปี 2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะในการแข่งขันในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการประมูลโครงการภาครัฐได้ รวมทั้งมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกหลักของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของบริษัทสามารถ คอร์ปอเรชั่น ตาม ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ? ของทริสเรทติ้ง การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะมีต่ออันดับเครดิตของบริษัทแม่หรือการเปลี่ยนแปลงสถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของบริษัทได้

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นและทำให้สถานะทางการเงินของกลุ่มมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมากจนส่งผลทำให้สถานะทางการเงินของกลุ่มอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจ้ดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ